ReadyPlanet.com


"รู้" ล้วนๆ


รู้ ล้วนๆ

 

โดย... อาภัสสะโร ภิกขุ 

เมื่อเราสามารถเจริญจิต ให้เข้าสู่ครรลองของ มรรควิถีแห่งจิตได้ตลอดสาย อย่างติดต่อสืบเนื่องแล้ว... เราก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มชัดถึงการปรากฏขึ้นของพฤติกรรมของปฏิจสมุปปาทของความคิด อันเป็นจุดที่สำคัญแห่งการเริ่มต้นของชีวิตได้อย่างถนัดตา 

และพบเส้นทางแห่งมรรคจิต ที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ สังขารธรรม ทั้งหลายทั้งหยาบละเอียด ก็พลันหมดกำลังลง....ไม่เหลือทั้งรูปรอยและรูปลักษณ์ให้ปรากฏเห็น จะมีก็แต่ความสงบสงัดเท่านั้นที่มีอยู่ และเมื่อความเข้มข้นของสิ่งดังกล่าวทวีอัตราสูงขึ้นจนถึงที่สุดแล้ว.... จิตก็เข้าถึงความบริสุทธิ์ของจิต.... จิตก็จะแสดงธาตุแท้ อันเป็นสภาพของจิตเดิมแท้... หรือธรรมชาติเดิมแท้... หรือสภาวะแห่งความเป็นพุทธะออกมา นั่นคือ ภาวะแห่ง... รู้ อันเป็นสภาวะหรือธรรมชาติบริสุทธิ์ล้วน ๆ ของจิตอย่างแท้จริง

สภาวะ รู้ นี้ เป็นสภาพที่โดดเด่น มีเอกภาพที่สมบูรณ์ในตัวเองอย่างที่สุด โดยไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้อง.. รองรับ.. ต่อเติม กับรู้นี้เลย รู้ดังกล่าวจึงเป็นธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ เหนือความบริสุทธิ์ใด ๆ ทั้งปวงในจักรวาล

มันเป็นสิ่งหรือธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในชีวิตทุกชีวิตของสัตว์โลกทุกหมู่เหล่า... แต่เพราะพฤติแห่งสังสารวัฎฎ์ของความคิดของสัตว์โลก ไม่อยู่ในดุลยภาคที่เหมาะสมเท่ากัน อวิชชา จึงมีโอกาสแทรกซ้อนไปทั้งทุกอนูของความคิดนั้น ๆ จะหนาบางก็แล้วแต่ความหยาบละเอียด แห่งภูมิจิตของสัตว์โลกแต่ละหมู่เหล่า....

ธรรมชาติเดิมแท้แห่งจิตสัตว์โลก คือ... รู้ นี้ จะถูกครอบคลุมด้วยเมฆหมอกของอวิชชา ญาณทักษ์ของจิตจึงถูกปิดกั้นให้มืดมัว... จิตจึงไม่อาจจะเห็นจิตได้อย่างแจ่มแจ้ง... จิตจึงมีลักษณะสะท้อนส่งออกไปข้างนอก แล้วความหลงผิดต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น จุดนี้เป็นจุดมืดบอดของสัตว์โลก อันเป็นผลให้ต้องท่องเที่ยว แหวกว่ายอยู่ในวังวนของสังสารวัฎฎ์ชาติแล้วชาติเล่า... มิรู้จบ !

ก็ด้วยอาศัยพระปัญญาบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสาดกระแสธรรม หยั่งลงสู่จิตของสัตว์โลก ความสว่างไสวด้วย วิชชาจึงเกิดขึ้นกับจิตของมวลหมู่สัตว์ทั้งหลาย....

แล้วเมื่อการเจริญมรรคจิตดำเนินถูกฝาถูกตัวอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยมรรคมีองค์แปดเป็นแนวทางเดินอันสำคัญดังกล่าวแล้วข้างต้น สภาวะแห่ง รู้ อันเป็นธรรมชาติเดิมที่มีอยู่สมบูรณ์แล้ว จึงกระจ่างโพลงขึ้น เหมือนดวงอาทิตย์โผล่ขึ้น ณ ขอบฟ้ายามรุ่งอรุณ ปานฉะนั้น....

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตลอดจนพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้วางจิตของท่านไว้กับสภาวะแห่ง รู้ ดังกล่าว จิตของท่านเหล่านั้นจึงปลอดจากภาวะแห่งการปรุงแต่ง เป็นอิสระเต็มบริบูรณ์ สิ่งที่ตามหลัง รู้ มา เป็นต้นว่า ดี-ชั่ว, เย็น-ร้อน, สุข-ทุกข์, ฯลฯ มิอาจจะมีอิทธิพลเหนือจิตท่าน เพราะจิตของท่านคืนเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติเดิมแท้ คือ สภาวะ รู้หมดดวง โดยสิ้นเชิงแล้ว....

ด้วยเหตุนี้... รู้ จึงเป็นวิหารธรรมอันบรมสุขของท่านเหล่านั้นชั่วนิรันดร.....!!! ธรรมที่นำมาแสดงให้พวกเราได้อ่านกันข้างต้นนี้ ค่อนข้างละเอียดเพราะเป็นขั้นตอนอันเป็นที่สุด ที่มุ่งเข้าสู่ความดับสนิทแห่งทุกข์ทั้งปวง ผู้ที่มีสภาวะจิตค่อนข้างละเอียดแล้ว ก็คงจะพอเข้าใจ ขอให้อ่านและพิจารณาด้วยสติปัญญา แล้วค่อย ๆ ปฏิบัติไป บางคนอาจจะยังไม่แจ่มแจ้ง ก็โปรดอย่าได้ท้อใจ สักวันหนึ่งเมื่อปฏิบัติจนถึงจุดแล้ว ก็จะประจักษ์ใจเอง จงเก็บเอาไว้ให้ดีนะ ! สำหรับธรรมะบทนี้

โดยขั้นต้น ก็อย่างที่เคยพูดไว้ให้ฟังว่า ค่อย ๆ เพียรรักษาจิตของเราไว้ให้ดี... มีอะไรได้สัมผัส หรือจิตคิดอะไรขึ้นมาก็ตาม ขอโปรดได้หันเข้ามาดูข้างใน คือดูที่จิต หรือดูความคิด อย่าส่งจิตออกไปดู ข้างนอก จงพยายามมีสติให้รู้ทันกับความคิดทุก ๆ ครั้ง ที่มันคิด.....

ดูเบาเบา..... ดูนุ่มนุ่ม..... ดูหวานหวาน..... อย่าเพ่ง.... อย่าจ้อง และ อย่าห้ามความคิด ให้เฝ้าดูเฉย ๆ เท่านั้น

ขอให้พวกเราเพียรปฏิบัติไปในแนวทางดังกล่าวนี้ คือ จิตเห็นจิต อันเป็นทางสายตรง แล้วไม่ช้าหากปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จิตของพวกเราจะก้าวหน้าและละเอียดยิ่งขึ้น ในที่สุดก็จะเป็นผู้แตกฉานในเรื่องของจิตเป็นอย่างดี ย่อมหมายถึงว่า พวกเราเดินใกล้ประตูพระนิพพานเข้ามาทุกขณะแล้ว....

----------------------------------------------------------

จิตของเรานั้น ถ้าเราสามารถเพียรพยายามทำความสงบให้เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด โดยการละการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น กระทั้งที่สุด แม้การจะตรึกแสวงหาความหลุดพ้น อันเป็นฝ่ายสัมมาทิฐิก็ตาม เราก็จะได้สัมผัสพื้นฐานแก่นแท้ของจิต นั่นคือ ความว่าง สงบ โปร่ง เย็น อันเป็นธาตุแท้หรือธรรมชาติเดิมของจิต

จิต ในสภาวะดังกล่าวนี้ จะมีลักษณะ รู้ล้วนๆ หรือ รู้เฉยๆ แต่มีประกายเจิดจ้าอยู่ ในภายใน มีความสงบ โปร่งเบายิ่งนัก แม้ภายนอกจะสับสนเกลื่อนกร่นวุ่นวายก็ตามที

เมื่อ จิต เข้าถึงความว่าง หรือความเป็นกลางโดยสมบูรณ์แล้ว จิตจะดำรงอยู่ในสภาวะดังกล่าว เว้นขาดจากการแสวงหา ความยึดมั่น ไม่มีตัวตน มีแต่กระแส รู้ แห่งความบริสุทธิ์ ในการที่จะรับรู้กับสิ่งต่างๆ รอบข้างเป็นอย่างดี รู้แล้วปล่อยๆ ไม่เกาะเกี่ยว ปรุงต่อ

เมื่อข้างใน ว่าง หรือเป็นกลาง หรือเข้าถึง ภาวะ รู้แล้ว ข้างนอกก็ว่าง เพราะไม่ได้ไปมีหมาย ไปปรุงแต่งยึดดียึดชั่วอะไร เพราะว่างแล้ว หมดตัวตนแล้ว อุปาทานหมดแล้ว จึงหมดยึด หมดปรุง ทุกข์จึงไม่มี 

น่าสงสารและน่าเห็นใจกับบุคคลที่เขาถูก สังขารปรุง จนไม่มีเวลาหยุด เขาผู้น่าสงสารเหล่านี้ ต้องแหวกว่ายอยู่ใน วังวนของความคิดเขาจึงต้องทุกข์เพราะความคิดของเขาเองแท้ๆ ทั้งนี้เพราะเขาไม่รู้จักธรรมชาติเดิมแท้ของจิต อันมีแต่ความสงบ โปร่งเบา ว่างอยู่เป็นนิรันดร

อาตมาได้แสดงธรรมขั้นค่อนข้างละเอียดให้ฟัง ความจริงเป็นสภาวะธรรมขั้นพ้นทุกข์ โดยเฉพาะ เป็นธรรมที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ ทางอันจะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายไม่ว่าในภพภูมิใดๆ ทั้งสิ้น เป็นหนทางนำเข้าถึงพระนิพพานโดยตรง หากปฏิบัติได้ ปฏิบัติถึง ...

----------------------------------------------------------

...จิต ของปุถุชนทั่วๆไป. จะถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกของอวิชชา เพราะมีปกติชอบที่จะส่งออกไป ข้างนอก. แล้วก็ไปหาก่อหาเกิด หาปรุง หาแต่ง. ด้วยเหตุนี้จิตจึงมืดมัว. เพราะมีสังขารแทรกซ้อนเข้ามา. จิตจึงไม่เห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เพราะญาณทัศนะของจิตถูกปิดกั้น.

...และเมื่อสังขารถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว. จิตก็จะโปร่งเบา...ว่าง...สงบ มีแต่ รู้ แจ่มจรัสเจิดจ้าอยู่ ในภายใน. จิตในสภาวะดังกล่าว, จะว่างจากความผูกยึด เป็นตัวเป็นตน...ไม่มีใครทุกข์...ใครสุข, ไม่มีใครเจ็บ ใครตาย,...ไม่มีใครได้ ใครเสีย. แม้แต่ตัวสติ-ปัญญา หรือสัมมาทิฐิใดๆ....ไม่มีทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำใดๆ ทั้งสิ้น. มีแต่ว่างอยู่...รู้...อยู่ เจิดจรัสสว่างไสวอยู่ในภายในชั่วนิรันดร์....

...จะเข้าถึงสภาวะนี้ได้. จะต้องสร้างทัศนะแห่งความเคยชินในการที่จะย้อน มองข้างใน ให้เป็นปกตินิสัย. แล้วเพียรเฝ้าดู...เฝ้ารู้...เฝ้ารักษาจิตให้ติดต่อ...สืบเนื่อง, ปัดทุกสิ่งที่ผุดโผล่ขึ้นมาทิ้งให้หมด. ไม่ตามคอยวิเคราะห์, วิจัย, วิจารณ์ ใดๆ ทั้งสิ้น. ไม่ให้ความใส่ใจ หรือสนใจกับพฤติกรรมใดๆ ที่อุบัติขึ้นมาในจิต. ไม่ว่าจะเป็น แสง..สี..เสียง หรือนิมิตวิเศษวิโสใดๆ ทั้งนั้น. ก็ในเมื่อสภาวะที่แท้จริงของจิตเดิมแท้นั้น, ว่างและบริสุทธิ์. แล้วในความว่างบริสุทธิ์นั้นจะมีพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร? ขอจงจำไว้อย่างประทับใจว่า...จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้ แต่อย่าติดในรู้นั้น.

...การมองย้อนดู ข้างใน เป็นปัจจุบันธรรม. เป็นวิถีทางที่จะนำชีวิต อันสับสน วุ่นวาย, ทุกข์ระทมหม่นหมอง. เข้าสู่กระแสอันสงบ เย็น และปลอดภัย. นั่นคือสภาวะ.....ว่างอยู่...รู้อยู่...!!!

----------------------------------------------------------

สติ...เมื่อถูกประกอบให้สมบูรณ์มากขึ้นๆ แล้ว. สติตัวนี้นี่เองจะแผลงเป็น มรรค ปัญญา หรือ ปัญญาญาณ อันทรงพลัง เป็นญาณที่เพียบพร้อมไปด้วย วิชชา คือความรอบรู้ เมื่อวิชชา คือความสว่างไสวด้วยปัญญาเกิด อวิชชา คือความหลงโง่งม ความมืดบอดก็จะถูกขับไล่ไปทันที ดังนั้น ความสมบูรณ์แห่งมรรคปัญญามากเพียงใด, ความเข้าใจกฎแห่งชีวิต และการเข้าใจ และรู้จักตัวเองยิ่งมากขึ้นเท่านั้น.

ความคิด...เป็นเสมือนต้นตอของชีวิต. ทุกชีวิตมิได้มีความเป็นเอกภาพแห่งตัวเอง. จะต้องตกอยู่ในอิทธิพลของ ความคิด เมื่อความคิดถูกมรรคปัญญาควบคุม. สังขารตัวปรุงก็จะถูกขจัดไป. จะเหลือเพียงเนื้อแท้แห่งความผุดผ่องของความคิดฝ่ายสัมมาทิฐิล้วนๆ.

จงทำความรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะ ใช้สติเฝ้ามองดู ความคิด ทุกภาวะที่เกิด. นี่เป็นวิถีทางที่จะรีดกระแสชีวิตของเราให้เรียวบางลงจากการห่อหุ้มของ โมหะ โทสะ โลภะ อันเสมือนเปลือกและกะพี้ของชีวิต ก็จะเหลือแก่นอันกลมกลึงเสลาบริสุทธิ์ล้วนๆ ของชีวิต

เอกภาพแห่งชีวิตจะมีขึ้นก็จะต้องเริ่มจาก ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สติ-สัมปชัญญะ) ก่อน. ทำอยู่เสมอๆ เป็นประจำๆ แล้วใช้สติคอยดูความคิดที่เกิดขึ้นเป็นประจำๆ เสมอๆ เช่นกัน...วันแล้ววันเล่า...เดือนแล้วเดือนเล่า, อย่าเบื่อ..... อย่าท้อแท้..... อิดหนาระอาใจ. จงคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมความสมบูรณ์ให้กับชีวิต

จิตคิด เป็น สมุทัย
ผลที่จิตคิด เป็น ทุกข์
จิตหยุดคิด เป็น มรรค
ผลที่จิตหยุดคิด เป็น นิโรธ

"จงรู้ทุกอย่างที่จิตรู้.......แต่อย่าติดในรู้นั้น"
"หยุดปรุง หยุดคิด จิตสงบ ปล่อยว่าง.....วางเฉย"
พระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีจิตหยุดคิด (หยุดปรุงแต่ง) แล้วโดยสิ้นเชิง.



ผู้ตั้งกระทู้ วิศาล :: วันที่ลงประกาศ 2010-12-10 19:10:30


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3286425)

อนุโมทนาค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น แป๋ม วันที่ตอบ 2011-03-02 11:09:43


ความคิดเห็นที่ 2 (3326423)

จะน้อมนำมาปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น วราภรณ์ วันที่ตอบ 2012-02-17 12:54:44



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.