ReadyPlanet.com


จิตตอนบรรลุธรรม


จิตตอนบรรลุธรรม

 
"...จิตเวลามันทำงานแล้วก็ไปจับเอาอันนั้นมาพูด ตอนไม่ทำงานนี้ก็รู้อยู่เฉพาะ คือจิตเวลาที่มันดับขณะนั้นแล้วจะไม่มีอะไรทั้งหมด เรื่องอาการว่านั่งหรืออะไรไม่มี อะไรๆ ทั้งหมดไม่มี พูดได้แต่ สักแต่ว่ารู้เท่านั้น พูดอย่างอื่นไม่ได้เลย
 
แต่คำว่ารู้นี้มันปฏิเสธไม่ได้นะ มันหากสักแต่ว่ารู้ แต่คำที่ว่าสักแต่ว่ารู้นี้เป็นเรื่องอัศจรรย์อันหนึ่งยิ่งกว่าอะไรอีกแหละ นี่ที่ว่าสักแต่ว่ารู้นี้ ถ้าไปแย็บอะไรอีกไม่ได้ต้องเป็นสองขึ้นมาทันที แย็บไม่ได้เลย เราจะพูดได้แต่ว่า สักแต่ว่ารู้เท่านั้น
 
นี่แหละมันดับจริงๆ ดับอย่างนั้น เราจะว่าเรานั่งอยู่หรือนอนอยู่ หรืออะไรนี้ จิตแย็บออกมาไม่ได้ ถ้าแย็บออกมามันก็มาทราบว่าเป็นอาการนอน อาการยืน อาการเดินเสีย จึงแย็บออกมาอย่างนี้ไม่ได้ในขณะนั้น
 
มีอันเดียวแล้วพูดไม่ได้เลย พูดได้แต่ว่า สักแต่ว่ารู้เท่านั้น มีเท่านั้น ถ้าว่าสักแต่ว่าเท่านั้น พูดอย่างเต็มปากไม่ได้ ได้เพียงว่าสักแต่ว่ารู้
 
เวลาเราทำงานด้วยสติอยู่ สติก็ตั้งท่า ปัญญาก็ทำงาน นี่มันเป็นท่า ตั้งท่า
 
อันนั้นมันไม่มี เราจะว่าสติไม่มี หรือว่าสติลงไปรวมอยู่ในจุดเดียวก็ถูก คือสติไม่ทำงานในเวลานั้น ปัญญาก็ไม่ทำงาน มีแต่สักแต่ว่ารู้ ซึ่งเป็นอันเดิม เข้าใจว่ารู้ ไม่แสดงอาการว่างั้นเถอะ คืออาการนั้นก็ได้แก่ปัญญาไม่แสดงเหมือนกัน ในตอนนั้น
 
ผู้รู้ตัวเดียว จะว่ารู้เด่นๆ อย่างเราคาดกันนี้ก็ไม่ถูก ได้เพียงว่าสักแต่ว่ารู้ แต่ว่าเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ตามภูมิของจิต อัศจรรย์ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ในขณะที่เป็นอย่างนั้นเรียกว่าไปแตะต้องมันไม่ได้เลย ต้องสักแต่ว่าเท่านั้น จะอยู่นานแค่ไหนเหมือนกัน
 
แต่นี้เวลาภาวนาใครอย่าไปคาดไม่ได้นะ มันต้องเป็นโดยหลักธรรมชาติของมันเอง มันเป็นของมันไปเอง เราจะไปคาดนี้ไม่ได้เรื่องเลย อย่างที่เล่าให้ฟังวันนี้ ผู้ภาวนามักจะคาด ทีนี้พอภาวนา ถ้าเราเป็นอย่างนั้นๆ ไปคาด เลยไม่ได้เรื่อง
 
มันจะเป็นอย่างไรก็ตามเราอย่าไปคาด ว่าจะให้จิตเราเป็นอย่างนั้น ท่านว่าอย่างนั้นจะให้จิตเราเป็นอย่างนั้น ท่านว่าอย่างนั้นจะให้จิตเราเป็นอย่างนี้ ไม่ต้อง คือให้เรารู้ตามความจริงความเป็นของเรา มันเป็นยังไงให้รู้ตามนั้น เท่านั้นเอง เราไม่ต้องไปหยิบอันนี้ยกไปใส่โน้น หยิบอันนี้ยกไปใส่โน้น ไม่ได้ ผิด
 
ตอนที่จิตหลุดพ้นก็เหมือนกัน จะว่าจิตหลุดพ้นในสมาธิในเวลาจิตรวมนั้นมีไม่ได้ จะว่าในขณะที่จิตธรรมดาก็ไม่ค่อยถูก หากอยู่ในย่านกลางๆ
 
เช่นอย่างพระอานนท์ พระอานนท์พอได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าอีกสามเดือนเท่านั้นจะเป็นผู้สิ้นกิเลส ก็ดีอกดีใจ พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบไว้แล้วว่าจะมีการทำสังคายนา จึงตรัสทำนายพระอานนท์ว่า อานนท์อย่าเสียใจ คือตอนนั้นพระอานนท์ร้องไห้เสียใจที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ร้องไห้ทำไม อย่าเสียใจ เธอจะเป็นผู้สิ้นกิเลสในวันทำสังคายนานั้นแล เราพูดย่อๆ เอาเลยอย่างนี้
 
ทีนี้พระอานนท์ก็ยึดคำนั้น พอถึงวันนั้นก็เร่งความเพียร มีแต่จะบรรลุๆ เท่านั้น งานก็เลยไม่ทำ จนกระทั่งจะสว่าง เอ๊ จะทำยังไง พอสว่างขึ้นมาตอนเช้านั้นก็จะทำสังคายนา ทำความเพียรเสียจนแย่ก็ยังไม่ได้เรื่อง เลยทอดอาลัย
 
นั่นน่ะคือถอนอุปาทานที่ไปยึดคำว่าเดี๋ยวนี้ออกเสีย แล้วก็ล้มตัวนอน หัวยังไม่ถึงหมอน คือเรียกว่าอิริยาบถสี่ จะว่ายืนก็ไม่ใช่ เดินก็ไม่ใช่ นั่งก็ไม่ใช่ นอนก็ไม่ใช่ พอเอนลงไปนี้หัวยังไม่ถึงหมอนก็บรรลุในขณะนี้
 
ตอนทำความเพียรก็ตั้งท่าตั้งทางต่อความบรรลุธรรม เลยลืมคำนึงถึงงานของตัวเองที่ได้ทำ ทำยังไงจะบรรลุ คำนึงถึงแต่บรรลุ แล้วจิตก็ไปอยู่นู้นเสีย ไม่ได้ทำงานโดยตรง
 
ทีนี้ตอนเห็นว่าจวนจะสว่างแล้วทำไง วันพรุ่งนี้จะทำสังคายนาอยู่แล้ว และการทำสังคายนานี้เราก็ได้ทราบจากพระสงฆ์ว่า จะปราศจากพระอานนท์ไปไม่ได้ เพราะพระอานนท์เป็นพหูสูต แม้จะยังไม่ได้ไม่ถึงวิมุตติหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ก็ตาม แต่จะเว้นพระอานนท์ไปไม่ได้ในการสังคายนานี้ พระอานนท์จะต้องเข้าสู่ที่ประชุมสังคายนานี้แน่ๆ
 
อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงทำนายไว้แล้วด้วย พระอานนท์ก็ยึด แต่พอเห็นท่าไม่ได้การแล้วก็ทอดธุระ นั่นคือความยึดโน้นยึดนี้มันก็ปล่อยไปหมด จิตตอนนี้เป็นกลางๆ แล้วนี่
 
คือปล่อยเข้ามาเป็นกลางๆ แล้ว มันพั้บออกตรงนั้น
 
จะว่าจิตรวมเป็นสมาธิก็ไม่ใช่ จะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่เชิง มาบรรลุเอาตอนกลางๆ คือตอนกลางๆ จิตมันรวมตัวกันอยู่เสมอแล้ว เพราะจิตนี้เป็นอย่างนี้
 
นี่แม้แต่ขณะที่จะบรรลุก็ต้องเป็นกลางๆ คือมัชฌิมา ฉะนั้น การบรรลุธรรม ไม่ใช่จะไปบรรลุในภูมิของสมาธิ บรรลุไปไม่ได้ จิตมันบรรลุอยู่ใน...พูดง่ายๆ ก็ว่าต้องปัญญา ถ้าจะว่า ตอนทำงานชุลมุนวุ่นวายนี้แล้วบรรลุ ก็ยังไง อาจารย์เองก็ไม่สนิทใจเหมือนกัน
 
ที่สนิทก็คือสนิทตอนที่เป็นกลาง จิตเป็นกลาง สนิทใจมาก คือกำลังพิจารณากันชุลมุนวุ่นวายอยู่นี้มันก็ไม่บรรลุ ตอนออกมาเป็นกลางๆ กลางของจิต ไม่ใช่กลางของสมาธิโน้น ไม่ใช่อยู่ในสมาธิโน้น ไม่ได้อยู่ที่กำลังทำงานนี้ เช่นเรากำลังพิจารณานี้อยู่ พอพิจารณาแล้วก็ปล่อยจากนั้นมา มาอยู่กลางๆ นี้
 
การบรรลุนี้ถ้าตามธรรมชาตินั้น มันก็ขณะจิตเดียวหรือแผล็บเดียวเท่านั้น เพราะมันรวมตัวของมันหมดแล้ว ก็เหมือนกับรากแก้วนี่ ถอนพรวดเดียวเท่านั้น รากฝอยอะไรๆ เหล่านี้ขาดออกหมดแล้ว เหลือแต่รากแก้ว ถอนพรวดเดียวมันก็หมด
 
คืออะไรๆ ตัดมาหมดๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส จิตถอนเข้ามาหมดๆๆ แม้แต่ขันธ์เจ้าของมันยังหมดไป ทีนี้ก็เหลืออยู่ที่จิต กิเลสไปรวมตัวอยู่ เรียกว่าเป็นอวิชชาล้วนๆ
 
อาการของอวิชชาก็ออกมาทาง รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ออกมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เรียกว่าขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอาการ คือกิเลสออกทางอาการนี้ หรือว่าเป็นทางเดินของมัน
 
ทีนี้ตัดเข้าไปๆ ด้วยปัญญา ไล่ต้อนมันเข้าไป พอเข้าใจนี้ปล่อยๆ ปล่อยเข้าไปๆ จนกระทั่งอะไรๆ ในขันธ์ห้านี้เข้าใจไปหมด รวมตัวแล้วนั่น อันนี้ไม่ติด อันโน้นไม่ติด เหลือแต่ความรู้อันเดียวติด พออวิชชานี้แตกกระจายก็เรียกว่า มีขณะเดียว พั้บเดียวรู้ ก็หมดปัญหาไป..."
 
จากหนังสือ คำถาม คำตอบ ปัญหาธรรม
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
 
http://larndham.org/index.php?/topic/43751-คำถาม-คำตอบ-ปัญหาธรรม/page__st__220


ผู้ตั้งกระทู้ Wisarn :: วันที่ลงประกาศ 2022-02-22 18:04:22


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.