ReadyPlanet.com


ทุกก้าวย่างของความรู้ตัวล้วน ๆ โดยไม่เพ่งเล็งจำเพาะคือการภาวนา


 ทุกก้าวย่างของความรู้ตัวล้วน ๆ

โดยไม่เพ่งเล็งจำเพาะคือการภาวนา

 

Self-Portrait in the Wilderness (1989)

 

โดย เขมานันทะ

จากหนังสือเรื่อง ดวงตาแห่งชีวิต 

ฉบับพิมพ์ครั้งแรก สำนักพิมพ์อมรินทร์ เมษายน 2545

 

          ผู้ที่ภาวนาแบบนี้ดีแล้วจะรู้สึกถึงสภาพไหวอ่อนทั้งตัว ลมพัดจะรู้ทันที หรืออะไรตกก็จะรู้ทันที มันเป็นอัตโนมัติ ร่างกายจะแสดงความมหัศจรรย์ออกมาในการจับเสียง หรือเห็นอะไรอย่างฉับพลัน เพราะความที่รู้สึกตัวอยู่ ความคิดแทรกแซงไม่ได้ เห็นอะไรก็เห็นตรงๆ เห็นเมฆเหมือนกับแตะ เอาหัวใจเข้าแตะเมฆได้ แต่โดยทั่วไปเราอยู่ในความคิด ดังนั้นเวลาเราเห็นอะไรเราคิดซ้อน เราพูดเราอธิบายเบ็ดเสร็จ การเห็นของเราจึงไม่สมบูรณ์ จึงไม่เรียกวิปัสสนา แปลว่า การเห็นอย่างแจ่มแจ้ง 

 

ข้อเท็จจริงอันหนึ่งว่า เราอาจรักลูกเรามาก หรือรักคนรัก แต่เราไม่เคยเห็นเขาเลย มีการเห็นซึ่งไม่ถูกแทรกแซงจากความคิดเลย อย่างนี้เรียกว่าเห็นแบบสัมผัสล้วนๆ ต้นไม้นั้นทุกต้นไม่มีชื่อ ลำธารก็ไม่มีชื่อ ตัวเราก็ไม่มีชื่อ มีแต่อาการ เช่น เห็นขยับไม้ขยับมือ เอาลมเข้า ลมออก กะพริบตา กลืนน้ำลาย เอี้ยวไปทางขวา เอี้ยวไปทางซ้าย

 

การเห็นธรรมะนั้นคือเห็นตัวเอง เราไม่เคยมองเห็นตัวเองเลย แต่ว่าเราคิดถึงตัวเอง เราสร้างภาพตัวเองขึ้นมาในจินตนาการ ว่าเราเป็นอันนั้น เราเป็นอันนี้ แล้วเราก็เจ็บปวดกับอันนั้นอันนี้ แต่เราไม่เคยเห็นตัวเอง ทั้งไม่รู้จัก ถ้าเห็นตัวเอง ภาพในจินตนาการของเราจะดับไป

 

เห็นตัวเองคือเห็นไม้เห็นมือกำลังยกไปยกมา ถามว่าเห็นด้วยอะไร ไม่ใช่ด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อมันเห็นอะไรไม่ค่อยได้มาก มันเห็นเฉพาะรูปที่มันอยากจะเห็น  ขอบเขตมันมีอยู่ แต่เห็นด้วยความรู้ตัว รู้ตัวว่ากำลังนั่ง กำลังเดิน โดยไม่มีความคิดเกี่ยวกับการเดิน มีแต่ความรู้สึกสัมผัสล้วนๆ สิ่งนี้เป็นจริงได้ในที่ทุกแห่ง เราสามารถเห็นตัวเราเองได้ กำลังเดินอยู่ ถ้าเห็นตัวเองอย่างนี้ อะไรที่มันผิดเพี้ยนมันจะเห็นก่อน เช่น โทสะเกิด มันจะหยุดตรงนั้น พอรู้ตัวได้มันก็ตกไป สิ้นไป ดับไป

 

การเห็นตัวเองได้อย่างสมบูรณ์นั้นคือการอยู่เหนือความคิด โดยปกติคนเรานั้นมักจะคิดถึงตัวเอง คิดถึงคนที่เรารัก แล้วก็ใช้ความคิดคิดถึงความคิดอื่นๆ เช่น นักภาวนา นักปฏิบัติ คิดว่า เอ๊ะ ความคิดคืออะไร นั่นคือความคิด ความคิดนั่นแหละคิดถึงความคิด เราไม่ควรปฏิบัติเช่นนั้น ถ้าเราสำรวมสัมปชัญญะสมปฤดีทั้งหมดมาที่การเคลื่อนไหวแล้วก็ปล่อยให้มันคิด แต่อย่าไปคิดกับมัน ถ้อยคำเหล่านี้ดูชอบกล คือปล่อยให้มันคิด แต่อย่าไปคิดกับมัน แสดงว่าเราเป็นตัวสัมปชัญญะ คิดก็คิด มันคิดของมัน แต่เราไม่ได้คิดด้วย ทำอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าไม่นานจะเห็นแจ้งด้วยปัญญา เห็นความต่างระหว่างความคิดกับความรู้สึก ความคิดนั้นอย่างหนึ่ง ความรู้ตัวอีกอย่างหนึ่ง

 

หรือเปรียบกับการแข่งขันในสนามกรีฑาก็ได้ แรกๆ คนทั่วไปธรรมดานั้นความคิดจะออกหน้า ความรู้สึกตัวจะอยู่ล้าหลัง ที่นี้พอเร้าความรู้ตัวขึ้นมา ความรู้สึกตัวจะเริ่มกวด กวดมาคู่เคียงในที่สุด ความรู้สึกตัวจะออกหน้า แล้วความคิดจะแผ่วๆ อยู่ข้างหลัง ความคิดที่แผ่วๆ นั้นชัดเจนเหมือนเดิม คมคายเหมือนเดิม แต่ไม่ทุกข์ เพราะไม่มีกิเลส

 

ปกติคนเรานั้นพอคิดก็เริ่มทุกข์เช่น คิดจะสร้างบ้านใหม่ พอลืมตานึกออกว่าจะสร้างบ้านใหม่เริ่มทุกข์แล้ว เริ่มหนักอกหนักใจ คิดจะลงทุนการค้าก็กลัดกลุ้มแล้ว แต่ถ้าความรู้สึกตัวออกหน้า ความตื่นตัวออกหน้านี่ความคิดมันทำร้ายเราไม่ได้เลย

 

ผมมีเรื่องจะเล่าแถมในท่อนสุดท้ายของการบรรยายว่า ๓๐ ปีก่อน ที่ผมไปอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่ง ไปอธิษฐานพรรษา อยู่ถ้ำเขาหินดำที่สงขลาโดยไม่มีความรู้ล่วงหน้าว่า ภูมิประเทศตรงนั้นมันเป็นอะไร ปรากฏว่าพอกลางพรรษา ฝนตกหนัก ฟ้าผ่าถี่มาก แล้วทุกครั้งที่ฟ้าผ่า ผมคิดว่าผมตายแน่ มันคงลงที่ต้นคอแน่ๆ จะเลิกอธิษฐานพรรษาก็ไม่ได้ ลองค้นหาวิธีที่จะเอาชนะความกลัวโดยตัวของตัวเองให้ได้ ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องสติ ยังไม่ได้เจริญสติ ยังไม่ได้ปฏิบัติ แต่โดยสัญชาตญาณ ตามธรรมดานั้น เมื่อฟ้าผ่ามันจะเกิดฟ้าแลบก่อนใช่หรือเปล่า แลบแปลบแล้วก็เปรี้ยงลงมา เสียงมาทีหลัง ผมก็อาศัยจังหวะที่มันแลบ พอมันแลบ ตั้งสติทันที ทีนี้เอาตัวรอดได้ คือมันไม่มีความคิดในเรื่องตายเลย สติที่ตั้งขึ้นมาจริงๆ มันไม่มีความคิดเลย ฐานที่สำคัญที่สุดที่ปกติที่สุดก็คือ ฐานที่อยู่เหนือคิด 

 

การคิดน่ะมันเป็นผิวหน้า เปรียบเหมือนทะเล ลมพัดมาก็เกิดคลื่นระลอกพลิ้วที่ผิวหน้าของมันนั่นคือความคิดที่เป็นฝักฝ่ายอารมณ์ แต่จิตจริงๆ มันไม่ได้คิดด้วย ฐานชั้นล่างของมันในน้ำลึกๆ มันไม่มีคลื่น ดังนั้นพอรู้ตัวให้เต็มส่วน ฟ้าจะผ่าเปรี้ยง มันก็ไม่มีความคิดเรื่องอยู่เรื่องตาย ผมรอดพ้นมาได้ตลอดพรรษาด้วยวิธีนี้ ทุกครั้งที่ฟ้าแลบก็ตั้งสติ แต่แล้วผมก็ไม่อาจจะเอาประโยชน์ถาวรจากสิ่งนี้ได้  เพราะยังไม่เข้าใจทั้งระบบว่าสัมพันธ์อย่างไรกัน เป็นเพียงการเอาตัวรอดในช่วงอันตราย แต่ที่เล่าสู่กันฟังนี้ว่ามีอานิสงส์ ถ้าสติดีก็สกัดกั้นความกลัวได้ เมื่อสติหรือความรู้ตัวเข้มข้นพอ ความทุกข์สู้หน้าเราไม่ได้ แต่ยังไม่อาจขุดรากถอนโคนอวิชชาได้

 

ปกตินั้นคนเราเวลาทุกข์หนักๆ มันไม่อยากตั้งสติเลย นอนรำพึงรำพันโทษบ่น กว่าจะหายทุกข์แต่ละเรื่องนี่ เล่นกันนาน แต่ถ้ารู้จักวิธีเจริญสติเช่นนี้ เจริญสติจนเป็นสมาธิขึ้นมาเราเริ่มได้เปรียบ เริ่มแทนที่มันด้วยความรู้ตัว ความรู้สึกตัวจะออกหน้าขึ้นทุกทีๆ ความคิดจะแผ่วๆ ลงไป ความรู้สึกทุเลาเบาบางก็จะปรากฏขึ้นมาแทนที่ เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีไม่มีผิด ถ้าคนหนึ่งนั่งแล้วนี่ พอสิ้นเสียงดนตรี คนหนึ่งนั่ง อีกคนหนึ่งจะนั่งไม่ได้ ถ้ายึดเนื้อที่ความรู้ตัวไว้ รู้ตัวให้ดีความคิดมันแทรกไม่ได้ แต่ความคิดก็ไม่ได้ดับ ไม่ได้ตายไป ความคิดคงเป็นเพื่อนที่ดีของเราได้ 

 

ที่จริงนั้นอิริยาบถเดินนั้นมีความสลักสำคัญอยู่ แต่ที่ลานโค้งนี้ไม่เหมาะ เพราะพื้นเป็นทราย ที่โบสถ์ รู้สึกที่นั่นน่าเดิน เพราะบริเวณกว้างขวาง ถ้าเป็นไปได้ พรุ่งนี้เช้าเมื่อทำวัตรสวดมนต์เสร็จ  ก็จะไปเดินจงกรมในโบสถ์ การเดินจงกรมนั้นมีบทบาทลึกซึ้งต่อการภาวนาทุกก้าวย่างคือก้าวย่างของความรู้สึกตัว  ก้าวย่างของอหิงสา ก้าวย่างแห่งความจริงเหมือนที่ได้อธิบายไปบ้างแล้วว่า ชาวพุทธทั่วโลกได้ถือเอาการเดินจงกรมของพระพุทธเจ้าเป็นกุญแจดอกเอก เดินเยี่ยงพุทธะ เดินทุกย่างก้าวด้วยความรู้ตัว ไม่ใช่เดินแบบไม่รู้ตัว เดินไม่รู้ตัวคือเดินชมนกชมไม้ เดินคิดเล่นไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ไม่อาจจัดเป็นการภาวนาได้ หรือชาวนาที่กำลังไถนาอยู่ ถ้าจับความรู้ตัวได้ ก็เรียกว่าเจริญสติ การทำงานธรรมดา คือกวาดพื้น กวาดใบไม้ ถ้าไม่มีการกำหนดรู้ กวาดทั้งวัดก็เป็นแรงงานธรรมดาๆ แต่ถ้าจะให้เป็นการภาวนา ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวต้องเอาสัมปชัญญะเข้าร่วม การงานเล็กน้อย กวาดพื้น ถูบ้าน ก็กลายเป็นอุบายในการภาวนาที่ดีได้ ฯ

 



ผู้ตั้งกระทู้ วิศาล :: วันที่ลงประกาศ 2010-12-10 18:48:09


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.