เมื่อจิตได้รับความสงบเพราะธรรมบทนั้นๆ พอเป็นปากเป็นทางแล้ว ก็เริ่มพินิจพิจารณาปัญญา ความรู้ก็ค่อยแตกแขนงออกไปโดยลำดับ หรือตีวงกว้างออกไปจนไม่มีประมาณ เมื่อถึงกาลอันควรที่จะพักจิตด้วยสมาธิภาวนา ก็กำหนดทาง“สมถะ” ด้วยบทธรรมดังที่เคยทำมาแล้ว โดยไม่ต้องสนใจทางด้านปัญญาแต่อย่างใด ในขณะนั้นตั้งหน้าตั้งตาทำความสงบด้วยธรรม บทที่เคยเป็นคู่เคียงของใจ หรือที่เคยได้ปฏิบัติเพื่อความสงบมาแล้ว กำหนดธรรมบทนั้นเข้าไปโดยลำดับ ด้วยความมีสติควบคุม จนปรากฏเป็นความสงบขึ้นมา แล้วมีความสุขความเย็นใจ เรียกว่า “การพักผ่อนหย่อนจิตด้วยสมาธิภาวนา”
เมื่อจิตถอนออกจากการพักสงบนั้นแล้ว ปัญญาก็ต้องคลี่คลายพิจารณาดูสิ่งต่างๆ อันใดที่ควรจะพิจารณาในระยะใดเวลาใด ก็พิจารณาในเวลานั้นๆ จนเป็นที่เข้าใจเมื่อปัญญาได้เริ่มไหวตัวเพราะพลังคือสมาธิเป็นเครื่องหนุนแล้ว ปัญญาจะต้องทำการพิจารณาอย่างกว้างขวางโดยลำดับๆ ตอนนี้ปัญญาจะว่ากว้างก็กว้าง ธรรมจะว่ากว้างก็กว้างตอนนี้ ปัญญามีความเฉลียวฉลาดมากน้อยเพียงใด ก็ยิ่งพิจารณากระจายออกไปจนรู้เหตุรู้ผลในสภาวธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง แล้วหายสงสัยและปล่อยวางไปโดยลำดับ ตามขั้นของสติปัญญาที่ควรแก่การถอดถอนกิเลสประเภทนั้นๆ ออกจากใจเป็นลำดับๆ ไป
จิตค่อยถอนตัวเข้ามาสู่วงแคบเท่าที่เห็นจำเป็นโดยลำพัง ไม่ต้องถูกบังคับเหมือนแต่ก่อน ก็เมื่อพิจารณารู้ตามความเป็นจริงแล้ว จะไปพัวพันไปกังวลกับสิ่งใดอีกเล่า เท่าที่กังวลวุ่นวายนั้น ก็เพราะความไม่เข้าใจจึงได้เป็นเช่นนั้น เมื่อเข้าใจด้วยปัญญาที่ได้พิจารณาคลี่คลายเห็นความจริงของสิ่งนั้นๆ แล้ว จิตก็ถอยและปล่อยกังวลเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายเป็นวงแคบเข้ามา ๆ จนถึงธาตุถึงขันธ์ถึงจิตตัวเองโดยเฉพาะ ระยะนี้จิตทำงานในวงแคบ เพราะตัดภาระเข้ามาโดยลำดับแล้ว
ธาตุขันธ์มีอะไรบ้าง? แจงลงไป ทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาจนหายสงสัยในเงื่อนหนึ่งเงื่อนใดก็ตาม เช่น พิจารณาในรูป เรื่องเวทนานั้นก็เป็นอันเข้าใจไปตามๆ กัน หรือพิจารณาเวทนา ก็วิ่งมาถึงรูป ถึงสัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีลักษณะเช่นเดียวกัน เพราะออกจากกระแสจิตอันเดียวกัน สรุปความแล้วขันธ์ทั้งห้าท่านก็บอกว่า “เป็นคลังแห่งไตรลักษณ์ หรือเป็นกองแห่งไตรลักษณ์” ทั้งสิ้นอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
มีสิ่งใดที่ควรจะถือเอา รูปธาตุรูปขันธ์ รูปทั้งปวง ก็เป็นกองแห่งธาตุอยู่แล้ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ละอย่าง ก็เป็นเพียงนามธรรม ปรากฏ “ยิบแย็บๆๆ”แล้วหายไปในขณะๆ จะถือเป็นสาระแก่นสารอะไรจากสิ่งเหล่านี้เล่า ปัญญาหยั่งทราบเข้าไปโดยลำดับคือทราบความจริง และซึ้งถึงจิตจริงๆ แล้วก็ปล่อยวางด้วยความรู้ซึ้งนั้น คือปล่อยวางอย่างถึงใจ เพราะรู้อย่างถึงใจก็ปล่อยอย่างถึงใจ งานก็แคบเข้าไป ๆ ตามความจำเป็นของการทำงานทางด้านปัญญา
นี่แหละการพิจารณาและรู้วิถีทางเดินของจิต ที่ไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ต่างๆย่อมทราบเข้ามาและปล่อยวางเข้ามาโดยลำดับ ตัดทางเสือโคร่งที่เคยออกเที่ยวหากิน
ดังท่านว่าไว้ในหนังสือธรรมบทหนึ่ง “ตัดทางเสือโคร่งออกเที่ยวหากิน” คือออกจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปเที่ยวเกี่ยวข้องกับทางรูป ทางเสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส แล้วกว้านเอาอาหารที่เป็นพิษเข้ามาเผาใจ ปัญญาจึงต้องเที่ยวพิจารณาตามรูป ตามเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพื่อตัดทางเสือโคร่งที่เคยหากิน โดยการคิดค้นเข้าไป ๆ ตามสายทางเสือโคร่งเสือดาวที่ชอบเที่ยวทางนี้ ท่านว่า ค้นเข้ามาตัดทางของมันเข้ามา จนกระทั่งเอาเสือโคร่งเข้าใส่กรงได้ คือ“อวิชชา” ที่เปรียบเหมือนเสือโคร่งเข้ารวมตัวในจิตดวงเดียว กิเลสอาสวะทั้งมวลรวมลงในจิตดวงเดียว กิ่งก้านสาขาตัดขาดไปหมด เหลือแต่จิต กิเลสอยู่ในจิตดวงเดียว ไม่มีที่ออกเที่ยวเพ่นพ่านหาอาหารกินได้ดังแต่ก่อน
“จิตอวิชชา” นี้จะว่าเป็นเหมือนลูกฟุตบอลก็ได้ เพราะปัญญาคลี่คลายถีบเตะไปเตะมาจนแตกแหลกละเอียด คือกิเลสอวิชชาแตกกระจายภายในนั้น จิตขั้นนี้เป็นขั้นรวมตัวของกิเลส ขณะที่ถูกปัญญาคลี่คลายไปมา จึงเหมือนลูกฟุตบอลถูกถีบถูกเตะนั่นแหละ ถูกเตะไปเตะมาอยู่ในวงขันธ์เสียจนแตกกระจายด้วยปัญญา เมื่อจิตที่เป็น “สมมุติ” แตกกระจายไป จิตที่เป็น “วิมุตติ” ก็แสดงตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่
ทำไมจึงเรียกว่า “จิตเป็นสมมุติ” กับ “จิตเป็นวิมุตติ” เล่า? มันกลายเป็นจิตสองดวงอย่างนั้นเหรอ? ไม่ใช่อย่างนั้น! จิตดวงเดียวนั้นแหละที่มี “สมมุติ คือกิเลสอาสวะครอบอยู่นั้น” เป็นจิตลักษณะหนึ่ง แต่เมื่อได้ถูกชำระขยี้ขยำด้วยปัญญาจนจิตลักษณะนั้นแตกกระจายไปหมดแล้ว ส่วนจิตแท้ธรรมแท้ที่ทนต่อการพิสูจน์ไม่ได้สลายไปด้วย สลายไปแต่สิ่งที่เป็น “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา” ที่แทรกอยู่ในจิตเท่านั้น เพราะกิเลสอาสวะแม้จะละเอียดเพียงใดก็ตาม มันก็เป็น “อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา”และเป็น “สมมุติ” อยู่โดยดีนั่นแล
เมื่อสิ่งนี้สลายไป จิตแท้เหนือสมมุติจึงปรากฏตัวอย่างเต็มที่ ที่เรียกว่า “วิมุตติจิต”สิ่งนี้แลท่านเรียกว่า “จิตบริสุทธิ์” ขาดจากความสืบต่อเกี่ยวเนื่องใดๆ ทั้งสิ้นเหลือแต่ความรู้ล้วนๆ ที่บริสุทธิ์สุดส่วนอย่างเดียว
ความรู้ล้วนๆ นี้ เราพูดไม่ได้ว่าเป็นจุดอยู่ ณ ที่ใดในร่างกายเรา แต่ก่อนเป็นจุดเด่นรู้เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น สมาธิ เราก็ทราบว่าอยู่ในท่ามกลางอก ความรู้เด่นอยู่ตรงนั้น ความสงบเด่นอยู่ที่ตรงนั้น ความสว่างความผ่องใสของจิตเด่นอยู่ที่ตรงนั้นอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องไปถามใคร บรรดาท่านผู้มีจิตสงบเป็นฐานแห่งสมาธิแล้ว จะปรากฏชัดเจนว่า จุดผู้รู้เด่นอยู่ในท่ามกลางอกนี้จริงๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการถกเถียงกันว่าอยู่มันสมอง เป็นต้น ดังที่ผู้ไม่เคยรู้เห็นทางด้านสมาธิภาวนาพูดกัน หรือถกเถียงกันเสมอในที่ทั่วไป
ทีนี้เวลาจิตนี้กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว จุดนั้นหายไป จึงพูดไม่ได้ว่าจิตอยู่เบื้องบน เบื้องล่าง หรืออยู่สถานที่ใด เพราะเป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ด้วย เป็นความรู้ที่ละเอียดสุขุมเหนือสมมุติใดๆ ด้วย แม้เช่นนั้นก็ยังแยกเป็นสมมุติมาพูดว่า“ละเอียดสุด” ซึ่งไม่ตรงต่อความจริงนั่นนักเลย คำว่า “ละเอียดสุด” นี่มันต้องเป็นสมมุติอันหนึ่งน่ะซิ พูดไม่ได้ว่าอยู่สูงอยู่ต่ำ มีจุดมีต่อมอยู่ที่ไหน ไม่มีเลย! มีแต่ความรู้เท่านั้นไม่มีอะไรเข้าไปแทรกซึม แม้จะอยู่ในธาตุในขันธ์ซึ่งเคยคละเคล้ากันมาก่อน ก็ไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว กลับเป็นคนละโลกไปแล้ว!
ทราบได้อย่างชัดเจน ขันธ์ก็เป็นขันธ์ จิตก็เป็นจิต กายก็เป็นกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีอยู่ภายในร่างกายนี้ ก็เป็นขันธ์แต่ละอย่างๆ ส่วนเวทนาในจิตนั้นไม่มี นับแต่จิตได้หลุดพ้นกิเลสทั้งมวลไปแล้ว เพราะฉะนั้นคำว่า“ไตรลักษณ์” ใดก็ตามซึ่งเป็นตัวสมมุติ จึงไม่มีในจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นไม่มีการเสวยเวทนา นอกจาก “ปรมํ สุขํ” อันเป็นธรรมชาติของตัวเอง และคำว่า “ปรมํ สุขํ”ไม่ใช่สุขเวทนา
ที่ท่านว่า “นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ’ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คำว่า “สุขอย่างยิ่ง” นั้นไม่ใช่สุขเวทนา เหมือนเวทนาของจิตที่ยังมีกิเลส และเวทนาของกายซึ่งเป็นสุขเป็นทุกข์แสดงอยู่เสมอๆ “ปรมํ สุขํ” นั้นไม่ใช่เวทนาเหล่านี้ ท่านนักปฏิบัติพึงทราบอย่างถึงใจ และปฏิบัติให้รู้ด้วยตัวเองนั่นแลจะหมดปัญหา สมดังธรรมท่านว่า “สนฺทิฏฺฐิโก” ซึ่งไม่ทรงผูกขาดไว้โดยเฉพาะพระองค์ผู้เดียว
จิตที่ “บริสุทธิ์ล้วนๆแล้ว” เราจะเรียกว่า “จิตมีเวทนา” จึงเรียกไม่ได้ จิตนี้ไม่มีเวทนา คำว่า “ปรมํ สุขํ” นั้น เป็นสุขในหลักธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์ จึงหา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปแทรกใน “ปรมํ สุขํ” นั้นไม่ได้
|