ReadyPlanet.com


พุทธวิธีชุบชีวิตในยามตกอับ


 พุทธวิธีชุบชีวิตในยามตกอับ 

 

โดย พุทธทาสภิกขุ

 

สำหรับวันนี้ก็อยากจะพูดเกี่ยวกับ  การรู้จักทำให้ชีวิตรอดพ้นจากความทุกข์หนัก  นี่ลองคิดกันดูว่า จะตกนรกไปพลางคว้าหานิพพานกันไปนี้ จะทำได้หรือไม่ แล้วจริงหรือไม่

 

ที่เขาพูดๆ กันทั่วไป หรือสอนกันทั่วๆ ไป เขาเหมาเอาว่า นรกอยู่ที่ไหนเอานิพพานไปไว้อีกที่หนึ่ง ไกลกันลิบลับ แล้วระยะเวลาก็ห่างกันมากเป็นกัปป์เป็นกัลป์ แล้วจึงจะไปถึงนพพาน  แต่บัดนี้มาบอกใหม่ว่า ตกนรกไปพลางก็คว้านิพพานไปพลางได้  คือยืนยันข้อที่ว่า แม้ตกนรกอยู่ ก็คว้านิพพานถึง ถ้าหากว่าทำเป็น

 

โดยทั่วไปเราได้ยินกันแต่นิพพานที่วาดกันไว้ไกล วาดกันไว้สูงอย่างเดียว แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ไว้ตรัสอย่างนั้นหรือตรัสเพียงเท่านั้น แต่พระองศ์ตรัสว่า นิพพานมีอยู่หลายละดับ เช่นเป็น นิพพานชั่วคราว  นิพพาน-ชิมลอง แต่แล้วมันเหมือนกับนิพพานจริงๆ 

 

เราพูดได้ว่า เมื่อกิเลสไม่ได้เกิดขึ้น ก็มีนิพพานอยู่ในเวลานั้น พอกิเลสเกิดขึ้น สภาพที่เป็นนิพพาน นั้นก็หายไป  เพราะว่าเชื่อฝังใจเสียแล้ว เข้าใจผิดและเชื่อผิดเสียแล้วว่าเรายังมีกิเลสอยู่ตลอดเวลา  เมื่อใดที่ว่างจากกิเลส เมื่อนั้นก็มีนิพพานชนิดที่เป็นเอง หรือชั่วคราว หรือชิมลองเกิดอยู่แทน 

 

ทีนี้ลองคิดดูเสียใหม่ สำหรับผู้ที่เคยฟังเรื่องตัวกู-ของกูมาแล้ว จะคิดได้ง่ายคือ เราอาจจะพูดได้ว่า เมื่อใดจิตว่างจากความรู้สึกที่เป็นตัวกู-ของกู เมื่อนั้นแหละเป็นนิพพานอยู่แล้ว

 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองว่าแม้แต่อวิชชาก็เพิ่งเกิด โดยมากเขาจะสอนกันว่า  อวิชชานี้เกิดอยู่เป็นพื้นฐานติดต่อกันไม่ขาดสาย  ประจำแน่นแฟ้นอยู่ในสันดาน พูดอย่างนั้นไม่ถูก เพราะพระพุทธเจ้าท่าน   ตรัสว่า  แม้อวิชชาก็เพิ่งเกิด ในขณะที่อวิชชาหรือ อุปาทานไม่เกิด ขณะนั้นเป็นนิพพานอยู่  อวิชชาหรือกิเลสเกิดเป็นครั้งคราวๆ นั้น ก็ต่อเมื่อเผลอสติเท่านั้น 

 

ให้สังเกตดูให้ดีว่า ถ้าว่ากิเลสมันเกิดอยู่ไม่ขาดตอนจริง มันก็เผาคนนั้นตายไปแล้ว ไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ ราคะ โทสะ โมหะนี่ ถ้าเกิดติดต่อกันไม่ขาดสาย อย่างที่เข้าใจกันแล้วนั้น คนนั้นก็ต้องตายแล้ว  หรืออย่างน้อยก็เป็นบ้าแล้ว ไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่อย่างในสภาพอย่างนี้

 

ฉะนั้นให้รู้ว่านรกมันมีเมื่อกิเลสมี คือมีตัวกู-ของกูขึ้นมาเมื่อไร มันก็มีทางที่จะเป็นนรกหรือเป็นอบายขึ้นเมื่อนั้นทันที  นรกคือความร้อนใจ เมื่อใดมีความร้อนใจ เมื่อนั้นเป็นสัตว์นรก เดรัจฉานนั้นคือความโง่ เมื่อใดโง่อย่างไม่น่าโง่  ไม่ควรจะโง่  ไปโง่เข้าได้ เมื่อนั้นก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน 

 

เปรตมีความหมายคือความหิว เหมือนกับว่าอยากน้ำคอแห้งอยู่เสมอ อสุรกายนั้นคือความขี้ขลาด เมื่อใดขี้ขลาดไม่เข้าเรื่อง กลัวแม้กระทั่งลูกหนู จิ้งจก ตุ๊กแก ของเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังกลัว เรื่อยขึ้นไปถึงความกลัวผี กลัวตาย กลัวอะไรสารพัดอย่างที่เขากลัวๆ กันนั้น เมื่อใดความกลัวเกิดขึ้นเมื่อนั้นเรียกว่าอสุรกาย

 

คำว่า นิพพาน แปลว่า เย็น ภาษาชาวบ้านพูดกันก่อนพระพุทธเจ้าเกิด หรือว่าก่อนมนุษย์เราจะรู้ธรรมมะ ก็คือคำว่าเย็นๆๆ  นี้พูดกันอยู่แล้วในหมู่มนุษย์มาแต่ดั้งแต่เดิม ตั้งแต่มนุษย์รู้จักพูดจา ร้อนเหมือน-ไฟ ก็เรียกว่าว่าร้อน พอไม่มีไฟ เย็นเหมือนน้ำ ก็เรียกว่าเย็น

 

คำว่านิพพาน นั้นมีความหมายว่าเย็น คำว่า นิพพานนั้น มีความหมายว่า เย็น ตามภาษาชาวบ้านพูด  ต่อมามนุษย์เจริญขึ้นในทางจิตใจ ในทางธรรมะ รู้จักปฏิบัติทางจิตใจ ได้พบความเย็นอีกชิดหนึ่ง เป็นเย็นทางจิตใจ แล้วก็ไม่มีคำจะพูด ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ก็เรียกว่าเย็นไปตามเดิม ก็เรียกว่านิพพานนั้นแหละ

 

เราควรอยู่ให้ถูกวิธี มีสติสัมปชัญญะ อยู่กับนิพพานชั่วคราวนี่แหละไปเรื่อยไป อย่าให้ขาดตอนได้ กิเลสหรือสังสารวัฏฏ์ ซึ่งเป็นเหมือนเสือก็จะขาดอาหาร ขาดอาหารแล้วก็จะผอมลง ในที่สุด มันก็ต้องตายเพราะขาดอาหารถึงที่สุด  เราจงรีบทำความคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ที่คว้าถึงนี่แหละอยู่เป็นประจำ

 

อาการที่เรามีสติสัมปชัญญะในขณะที่มีความทุกข์เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า คว้าหานิพพานทันที เมื่อเราไม่ละการกระทำชนิดนี้ เรียกว่าตกนรกอยู่พลาง คว้านิพพานอยู่พลางไม่ยอมแยกจากกัน  ถ้าหากว่าคนในโลกนี้  ที่เขาทำสงครามรบราฆ่าฟันกันนี้ รบกันไปพลางแลกเปลี่ยนธรรมะกันไปพลาง ก็จะพบสันติภาพได้ คือการหยุดรบมีได้เป็นแน่นอน 

 

ที่ว่าการแลกเปลี่ยนธรรมะหรือการแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ในข้อที่ว่า ใครหรือศาสนาไหนหรือพวกไหนจะดับทุกข์กันอย่างไรแล้วก็เอาความรู้นี้มาแลกเปลี่ยนกันไปพลาง  หรือแม้แต่ว่าผัวเมียจะทะเลาะกัน ก็ควรจะทะเลาะกันไปพลางแลกเปลี่ยนธรรมะกันไปพลาง กล่าวคือพูดถึงเรื่องความ-ผิดชั่ว กันไปพลาง พูดถึงเรื่องความผิด ความถูก ความทุกข์ ความดับทุกข์ ในที่สุดก็ทะเลาะกันไม่ได้

 

ถึงแม้จะมองให้แคบเข้ามาอีกในส่วนบุคคลหนึ่งๆ เช่นว่า กำลังยากจน ก็ต้องคว้าธรรมะไปพลาง คือหาธรรมะที่จะแก้จนได้นั้นแหละไปพลาง อย่าไปลำบากยากจนแล้วคิดไปทางอื่น มันมีแต่จะจนมากขึ้น ต้องหาธรรมะมาแก้จน คือต้องหาวิธีที่ถูกต้องมาแก้จน แม้จะหาเงินก็ต้องหาโดยวิธีธรรมหรือถูกต้อง

 

หรือถ้าคิดจะฆ่าตัวตาย ก็คิดอย่างคนมีธรรมะ เดี๋ยวมันก็รู้สึกถูกต้องขึ้นมาเป็นไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีตัวกู-ของกู มันก็เฉยได้โดยไม่ต้องฆ่าตัวตาย  หรือแม้แต่จะบริโภคกามคุณในทางเพศ   นี้ก็ยังต้องบริโภคอย่างถูกวิธีของธรรมะ คือมีธรรมะด้วยเหมือนกันมิฉะนั้นแล้วมันจะเป็นทางของนรก หรือเดรัจฉาน หรือเปรต หรืออสุรกายได้มากขึ้น 

 

หรือแม้ที่สุดแล้ว เมื่อถึงคราวจะตายเข้าจริงๆ คือร่างกายต้องแตกดับเข้าจริงๆ คนที่มีความรู้สึกอย่างนี้ มันก็ว่ายที่จะกระโจนเข้าสู่นิพพาน  ถือโอกาสที่ว่า ยังเหลืออีกไม่กี่วินาทีจะต้องแตกดับนี้ ควบคุมสติสัมปชัญญะถึงระดับสูงสุด ไม่มีตัวกู-ของกูเหลืออยู่ ในขณะนี้เลย แล้วร่างกายก็แตกดับไป  ความทุกข์มีอยู่ที่ไหน ความดับทุกข์ก็ต้องอยู่ที่นั้น เพราะถ้าไปอยู่ที่อื่นแล้ว จะดับความทุกข์ได้อย่างไร

 

นี่ลองคิดปัญหาง่ายๆ ดูอย่างนี้ว่า ความทุกข์มีอยู่ที่ไหน ความดับทุกข์กันที่อื่นแล้วมันจะมีได้อย่างไร เพราะว่าความทุกข์ มันอยู่ที่นี่ ฉะนั้นเราจึงต้องดับทุกข์กันที่นี่  และอาศัยสติปัญญาของพระพุทธเจ้า คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในความทุกข์นั้น ว่าเป็นความทุกข์ของเรา ปล่อยความทุกข์ไปเป็นธรรมชาติ จึงเหลืออยู่แต่จิตว่าง  คือจิตว่างจากตัวกู-ของกู  ว่างจากกิเลส  ว่างจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง

 

ความว่างจากตัวกูของกู  ตามแบบของพระพุทธเจ้า  มีอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด และอยู่ในวิสัยที่เราจะใช้ประโยชน์ได้อย่างยิ่ง  อย่างมากที่สุดกับคำว่าตกนรกอยู่พลาง คว้าหานิพพานก็ทำได้  นี่ก็เพราะเข้าใจในสิ่งที่เรียกว่าความว่าง อย่างถูกต้อง.

 



ผู้ตั้งกระทู้ วิศาล :: วันที่ลงประกาศ 2010-12-09 17:35:05


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.