ReadyPlanet.com


ธรรมะบนแคร่น้อยใต้ร่มไผ่


 ธรรมะบนแคร่น้อยใต้ร่มไผ่

 

เจริญพรญาติโยม ผู้ร่วมปฏิบัติธรรมทุกท่าน

 

คืนนี้ฟ้าโปร่งใสกระจ่าง จันทร์เจ้ารูปเสี้ยวคล้ายชิ้นแตงโม ลอยเด่นอยู่กลางฟ้า เพราะเมฆหมอกไม่มีมาบดบัง ทั้งจันทราและดาราจึงแข่งกันอวดแสงสีกันเต็มที่ อากาศกำลังเย็นสบาย อาตมานั่งปล่อยอารมณ์ (แต่ไม่ขาดสตินะ) อยู่ ณ แค่น้อยใต้ร่มไผ่หลังกุฏิ ตั้งแต่ตอนย่ำค่ำมาแล้ว

 

ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า "กลิ่นหอมและสีสรรค์ของบุพชาติ ย่อมเป็นที่พึงใจของสตรีเพศฉันใดความสงบสงัดวิเวกย่อมเป็นที่ปรารถนาของสมณะผู้มุ่งเข้าสู่ความดับทุกข์ฉันนั้น... ปัญญาจะเกิดทุกครั้งเมื่ออาตมาได้สัมผัสกับบรรยากาศ และสัปปายะดังกล่าว

 

หวลรำลึกนึกถึงพระผู้ทรงคุณแห่งโลก พระปฐมบรมครูของพวกเรา พระองค์ทรงสละความสุขสะดวกสบายจากเวียงวังอันโอฬาร มุ่งสู่ป่าเปลี่ยวเพื่อแสวงหาโมกขธรรม แล้วความสำเร็จก็ได้บรรลุแก่พระองค์โดยอาศัยความสงบสงัดแห่งธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร เป็นเครื่องประกอบ

 

จึงใครอยากจะเตือนทุกท่าน ที่มุ่งเข้ามาเพื่อแสวงหาหนทางอันสูงสุดดังกล่าว จงดูพระองค์เป็นเยี่ยงอย่าง ความสุขสะดวกสบายนี้ พวกเราจึงมิอาจจะก้าวเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้สักที ชาติแล้วชาติเล่าต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้...

 

แล้วก็คงจะเป็นไปในลักษณะนี้อีกนานแสนนาน ชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ หากพวกเรายังไม่ยอมสลัดความเคยชิน ติดอยู่กับความสุขสะดวกสบายรอบข้าง ไม่พยายามที่จะปรับกระแสจิตให้ไหลทวนกระแสกิเลสที่มันแอบแฝงซ่อนเร้นมาในรูปของความอยากทั้งหลาย หากว่าต้องการจะพ้นทุกข์ต้องตัดความสุขสะดวกสบายลงให้มาก ฝากญาติโยมหมั่นท่องให้ขึ้นใจไว้ด้วย

 

ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ก็มาเยี่ยมเยียนหลายเพลาแล้ว หลายคนก็คงสนุกสนานกันเต็มที่ เรื่องของคนโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลงานใดเวียนมาถึง คนหลงก็จะอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวสนุกสนานเฮฮา กินเหล้าเมายากันครื้นเครง ขาดสติสัมปชัญญะ

 

แต่ญาติโยมทั้งหลายที่กำลังอ่านจดหมายนี้อยู่ คงจะไม่เป็นเช่นนั้นแน่ คงจะไม่ติดอยู่กับสมมติจนเกินขอบเขต เพราะปีใหม่ เดือนใหม่อะไรนั้น ก็เป็นเรื่องสมมติที่กลุ่มชนดำริขึ้นมาว่ากัน ที่จริงแล้วปีเก่าปีใหม่ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในสภาพทั่วๆไป แต่คนที่ฉลาดพอจะรู้จักคุณค่าสภาวะชีวิตของตนก็อาศัยกำหนดกฏเกณฑ์ในเรื่องของ วัน เดือน ปี ที่เป็นของสมมติ เป็นเครื่องสำรวจตรวจตราฐานันดรถามชีวิตตัวเองว่า ที่ผ่านมามีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง แล้วรีบเร่งต่อเติมเสริมแต่งในสิ่งที่ยังขาดอยู่ให้ดีขึ้น.

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ญาติโยมที่ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ ก็อาศัยวัน เดือน ปี นี้แหละ ตรวจวัดดูผลการปฏิบัติทางจิตใจ ว่าปีที่ผ่านไปนั้นขอวัตรปฏิบัติของเรา มีอะไรขาดตกบกพร่องย่อหย่อนอยู่บ้าง แล้วก็ตั้งเจตจำนงไว้เลยว่า ปีใหม่นี้เราจะต้องเพียรพยายามรักษาคุณภาพของจิตให้มั่นคง สงบเยือกเย็นมีความก้าวหน้าในอรรถในธรรมให้ดียิ่งๆขึ้นไป อะไรก็ตามที่เป็นตะกอนนอนขุ่นอยู่ในจิตในใจ แล้วเป็นผลส่งให้เราเกิดความทุกข์ คับแค้น อึดอัด ไม่สบายใจ ก็จะขอขับไล่ปฏิกูลใจเหล่านี้ออกไปให้หมด ให้มันไหลไปกับวันเก่า เดือนเก่า ปีเก่า อย่าเก็บเอาไว้ จงรักษาคุณภาพที่ดีของจิต คือ สงบสะอาด สว่างและชุ่มฉ่ำไว้ให้มั่นคง แล้วพวกเราผู้เป็นทายาทธรรมก็จะมีแต่ความสุข โดยไม่ต้องไปพึ่งคำพร หรือบัตร ส.ค.ส. จากใคร

 

หัดสร้างกำลังใจ และให้กำลังใจด้วยตัวเอง ดีกว่าที่จะไปคอยขอรับกำลังใจ หรือคำพรจากผู้อื่น คนที่รู้จักเตือนตัวเอง สอนตัวเอง และให้กำลังใจตัวเองนั้น ย่อมจะต้องได้รับผลสำเร็จในสิ่งที่ตนตั้งเป้าหมายเอาไว้อย่างแน่นอน พระผู้มีพระภาคยังทรงตรัสไว้เลยว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง"จงเตือนตนเองด้วยตนเองนั่นแหละประเสริฐที่สุด

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาธรรมสายที่เรากำลังเดินกันอยู่นี้จะต้องหันเข้ามามองข้างใน คือตรวจตัวเองเตือนตัวเอง และให้กำลังใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่าประมาท อย่าชะล่าใจ อย่าเหนื่อยหน่ายเป็นอันขาดแล้วความเจริญงอกงามไพบูลย์ในอรรถในธรรม ก็จะเกิดขึ้นกับตัวเราเอง เป็นลำดับๆ

 

เพราะเหตุว่าคืนนี้ฟ้าโปร่งดังที่บอกไว้แต่ต้น จึงทำให้เห็นทิวทัศน์ของท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะจุดที่อาตมานั่งพิจารณาธรรมและเขียนจดหมายอยู่นี้ เป็นมุมที่ทัศนวิสัยเหมาะมาก....เบื้องหน้า ทิศตะวันออกนั้น ดาวประกายพฤกษ์ ส่องแสงเจิดจรัสสว่างไสวเหนือหมู่ดาวน้อยใหญ่ทั้งปวง....

 

ทำให้อดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ว่า ในโลกนี้ มีมากมายหลายศาสนา หลายนิกาย ดุจดวงดาวบนฟากฟ้าแต่เชื่อไหม คำเทศน์ คำสอนของเจ้าลัทธิ หรือศาสดา ในศาสนาหรือนิกายนั้นๆ ไม่มีทางที่จะมาเทียบใกล้คำสอนของพระบรมศาสดา บรมครูของพวกเราชาวพุทธได้เลย ยังธรรมคำสอนของท่านเป็นสัจจะธรรมและอมตะธรรมที่ไม่มีใครจะสามารถปฏิเสธหรือลบล้างได้เลย

 

ดังเช่น เรามีความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย จะต้องพลัดพรากจากของรักด้วยกันทุกคน หรือที่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งๆนั้นจะต้องล่วงไหลสู่ความแตกดับเป็นธรรมดา ฯลฯ สัจจะธรรมเหล่านี้จะต้องเป็นอมตะธรรมคู่โลกตลอดไป ใครก็ลบล้างไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเสมือนหนึ่ง..เปิดของที่ปิด..หงายของที่คว่ำ...ดับของที่ร้อน... ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์จึงสว่างไสว เจิดจรัส ดุจดวงประกายพฤกษ์ซึ่งมีรัศมีกระจ่างหล้า เหนือกว่าหมู่ดาราทั้งปวงในสากลจักรวาล

 

เป็นบุญบารมีอย่างยิ่งของพวกเราแล้ว ที่มีวาสนาได้มาเกิดทันศาสนาขององค์ประทีปแก้ว และได้เข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมกัน จงอย่ามัวรอช้าเสียเวลาอยู่กับของหลอกลวงอันเป็นสมมติอยู่เลย อาตามาเคยพูดเคยเตือนอยู่บ่อยๆว่า พวกเราทุกคนมีเวลาอันน้อยนิดในโลกนี้ จึงไม่ควรปล่อยเวลาอันมีค่าดังกล่าวให้สูญสิ้นไป โดยที่พวกเรานำสิ่งที่มีค่า และเป็นประโยชน์สาระแก่ชีวิตติดตัวได้เพียงน้อยนิด จะเป็นที่เสียใจอย่างยิ่ง หากว่ามรณะภัยมาถึงในขณะที่เราทำประโยชน์ทั้งสามกาล อันได้แก่ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในสัมปรายภพ และประโยชน์อันสูงสุดได้เพียงน้อยนิด ไม่สมค่าที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

 

พอแหงนขึ้นดูฟ้า ก็เห็นดาวตกวิ่งสว่างวูบผ่านหน้าไป เป็นเครื่องยืนยันสัจจะธรรมดังคำกล่าวที่ว่า...สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งนั้นย่อมมีการแตกดับสูญสลายเป็นธรรมดา โอ้...สัจจะธรรมของผู้เป็นนาถะแห่งโลก ช่างทรงความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงแท้จริงหนอ.

 

นั่งเขียนจดหมายคุยกับญาติโยม พอเมื่อยก็ลุกขึ้นเดินจงกรมสลับกันไป จนขณะนี้ค่อนข้างดึกมากแล้วอากาศเริ่มเย็นลง ดาวประกายพฤกษ์ดวงงามเลื่อนลอยมาตรงศีรษะ คำนวณดูด้วยสายตา คงจะอยู่ห่างจากโลกเราไกลแสนไกลไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนไมล์ ก็คงเหมือนกับธรรมะของสัตบุรุษ กับอสัตบุรุษที่ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

 

ค้างคาวลูกหนู ๒-๓ ตัว บินฉวัดเฉวียนอยู่ไปมา รอบข้างมีแต่ความสงบ เงียบวังเวง ทำให้เห็นกิริยาของจิตที่มาในรูปความคิด ออกไปปั้นเรื่องปั้นราวขึ้นมาหลอกหลอนอย่างถนัด จิตแต่งเป็นเรื่องผีๆสางๆขึ้นมาหลอกหลอนเข้าของจิต นึกถึงคำพูดของหลวงปู่ดูลย์ที่ว่า "คนเราทุกข์ เพราะความคิดของตัวเองเพราะไม่รู้เท่าทันมายาของจิต ไปหลงตามแล้วก็ช่วยมันปรุง ทุกข์จึงเกิดขึ้น เพียงแต่เราดูมันอยู่เฉยๆ มันคิดอะไรขึ้นมา เราอย่าไปห้าม แล้วเราก็อย่าไปตาม เฝ้าแต่มองดูเฉยๆ อย่าเพ่ง อย่าจ้อง ดูเบาๆ นุ่มๆ ความปรุงแต่งทั้งหลายก็ถอยหมดไป

 

เมื่อความปรุงแต่หมดไป จิตก็ถึงความว่าง มีรู้อยู่เฉยๆ เพราะตามธรรมดา แก่นที่แท้ของจิตจริงๆนั้น มันไม่มีความนึกคิดปรุ่งแต่ง ดีชั่ว บาปบุญอะไรทั้งนั้น มีลักษณะเพียง "รู้อยู่" เฉยๆ รู้ชนิดไม่ปรุงแต่ง ไม่สร้างเรื่องสร้างราว เพียงรู้กระจ่างแจ่มใสอยู่เท่านั้น หลวงปู่ดูลย์ท่านจึงเรียกว่า "จิตหยุดเคลื่อนไหว" .....ภาวะดังกล่าวไม่ใช่ของง่าย ขอจงค่อยๆปฏิบัติไป อย่ากำหนดอย่ามุ่งหวังผลจนเลอเลิศ เพียรพยายามปฏิบัติไปอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอแล้วผลก็จะเกิดขึ้นขออย่าได้เบื่อหน่าย ท้อแท้ เป็นอันขาด.

 

จงคิดไว้เสมอว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์ โชคดีที่สุดแล้ว หน้าที่ของเรา คือ เร่งรีบหาความดีใส่ตัวให้มากวันคืนล่วงเลยผ่านไปเร็ว พร้อมกับความทรุดโทรมมอดไหม้แห่งวัยและสังขาร ช่วงเวลาอันแสนสั้นที่เหลืออยู่นี้ จงรีบขวนขวายหาความดีใส่จิตใสใจให้มาก "ดี" ที่เป็นยอดของความดีทั้งหมด ก็คือทำใจให้สะอาดจากไฟสามกอง เป็นอิสระจากอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง นี่เป็นสิ่งที่เราควรเร่งรีบลงมือกระทำก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

 

แสงไฟจากตลาดฉัตรไชยที่อยู่ไกลลิบโน้น ค่อยๆดับลงทีละดวงสองดวงเพราะดึกมากแล้ว ทุกชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า จากการกระโดดโลดเต้น ตะเกียกตะกาย หาใส่ปากใส่ท้องก็กลับเข้าสู่การพักผ่อน เพื่อปลูกแรงไว้สู้กับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งที่จะต้องเผชิญในวันรุ่งขึ้น เป็นวัฏจักรของชีวิต ที่หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ปีแล้วปีเล่า เช้าขึ้นมาก็ออกแย่งกันหากิน....เย็นก็แย่งกันกลับบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย อ่อนระอา โหยหิว คิดแล้วน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน ในการที่จะต้องมารับภาระหน้าที่ ดูแลทำนุบำรุงขันธ์ห้าอันนี้

 

หากญาติโยมคนใดเกิดเบื่อหน่าย สลดสังเวชกับภาระความหมุนเวียนของชีวิตดังกล่าวนี้ คิดอยากจะสลัดตัวให้ออกจากกงล้อแห่งวัฏจักร ก็จงเร่งรีบสร้าง สติ-ปัญญา ให้สมบูรณ์ แล้วค่อยๆใช้ปัญญาดังกล่าวพิจารณาดูสรรพสิ่งทั้งหลายรอบตัว ว่ามีอะไรบ้างที่เที่ยงแท้แน่นอน จีรังยั่งยืนทรงสภาพไว้ได้ตลอด

 

แม้แต่อัตภาพร่างกายที่เราแสนรัก แสนทะนุถนอม ได้ถูกสรรสร้างขึ้นมาจากธาตุทั้งสี่ ซึ่งธาตุดังกล่าวก็ไม่เป็นสิ่งคงทนถาวร มีความแปรปรวนในตัวเองทุกขณะ ฯลฯ เมื่อได้พิจารณาบ่อยๆ จิตก็จะเกิดสลดสังเวช อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็จะค่อยๆคลายลง ใจของเราก็จะได้พบกับความสงบสุขเพราะเราสามารถใช้ปัญญาสอนจิตให้ฉลาดขึ้น อุปาทานก็จะค่อยๆคลายลง อย่างที่อาตมาเคยพูดให้ฟังว่า....ทุกข์มี เพราะมีเรา (คือมีอสัตตาตัวตน)....เรามี เพราะมีขันธ์ห้า....ขันธ์ห้ามี เพราะมีอุปาทานฉะนั้น หากจะดับทุกข์ก็ต้องดับ"อุปาทาน"ให้ได้ ญาติโยมโปรดจำไว้ด้วยนะ !

 

ห่างจากจุดที่อาตมานั่งอยู่นี้ประมาณ ๓-๔ วา มีแมลงมุมสีทอง ตัวโตเท่าปลายนิ้วก้อย ได้ชักใยเป็นตาข่ายเพื่อไว้ดักเหยื่อ คือ แมลงต่างๆ ใยที่ชักเป็นรูปวงกลมแปดเหลี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณเกือบเมตร นึกชื่นชมกับความวิริยะอุตสาหะ ความเจ้าระเบียบเรียบร้อยของมัน เพราะเส้นใยที่ขึงนั้นเป็นเส้นขนานตรง มีระยะห่างเท่ากันตลอด แลดูสวยงามดีจังเลย

 

และเช่นเดียวกัน ทางด้านซ้ายมือของอาตมา ก็มีแมลงมุมอีกชนิดหนึ่ง ดูเหมือนชาวบ้านจะเรียกว่าแมลงมุมก้นดำ เพราะตัวมันมีสีดำ ตัวโตเท่ากับแมลงมุมสีทอง ชักใยอยู่ระหว่างกอไผ่สองกอ มีขนาดไล่เรี่ยกับตัวแรก แต่เจ้าประคุณเอ๋ย.....!! มองดูสภาพใยที่มันชักแล้ว เวียนหัวจริงๆ ดูยึกยักโย้เย้ ชุลมุนชุลเกดีแท้ หาความเป็นระเบียบไม่ได้เลย ทั้งๆที่มันเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน ทำไมการชักใยสร้างรังของมัน ช่างแตกต่างกันอย่างนี้

 

เห็นแล้วก็อดที่จะนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของคนในโลกนี้ไม่ได้ บางคนเกิดขึ้นมาแล้วสามารถปรับและจัดวิถีทางเดินชีวิตได้เรียบร้อยมีระเบียบแบบแผน มีขั้นมีตอน รู้จักสรรหาสิ่งที่เป็นสาระมาประคับประคองเป็นครรลองของชีวิต สามารถนำชีวิตของตนเองไปสู่ความสำเร็จในจุดหมายปลายทาง

 

ซึ่งผิดกับบุคคลบางจำพวก เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่เคยที่จะคิดจัดวางระเบียบแบบแผนของชีวิตตนเอง ปล่อยชีวิตให้ล่องลอยไปเหมือนเศษขยะกลางน้ำ ไม่เคยหันมาสำรวจตรวจตราตนเองปล่อยชีวิตให้หมักจมอยู่กับปรักตมของความชั่ว มองดูสภาพชีวิตช่างซับซ้อน ยุ่งเหยิงไม่มีอนาคต ไม่มีระเบียบ ปล่อยชีวิตหมดเปลืองไปด้วย วัน เวลา ไม่ได้อะไรเป็นแก่นสารสาระของชีวิตเลย พอใจที่จะปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับไฟอเวจีสามกองชั่วชีวิต !!!

 

ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ปัจเจกชนทุกท่านที่กำลังอ่านจดหมายอยู่นี้จะไม่หล่อยชีวิตของตนเองให้ล่องลอยอย่างไร้สาระแก่นสารเป็นแน่ เพราะพวกเราน้อมนำเอาธรรมะคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค อันล้ำค่าอย่างยิ่งเป็นบรรทัดฐาน เป็นแนวทางเดินแห่งชีวิต ทำให้เรารู้คุณค่าของชีวิตมีชีวิตอยู่ด้วยการเสริมสร้างคุณงามความดีใส่ตัว ไม่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในความประมาท เราจึงกล้าเรียกตัวเองอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น"ปัจเจกชน" หรือ "บัณฑิต"

 

ขอจงทำความเข้าใจไว้ด้วยว่า บัณฑิตในที่นี้ มิได้หมายถึงผู้ที่เจริญด้วยคุณวุฒิมากมายก่ายองด้วยกระดาษปริญญาบัตร อย่างที่ชาวโลกๆเขานิยมกัน บัณฑิตที่เป็นปัจเจกชนจะต้องสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา เป็นอาภรณ์ประดับชีวิต เป็นประกาศนียบัตร หรือใบเบิกทางที่จะนำไปสู่ความสันติสุขอันยิ่งใหญ่ในเบื้องหน้าโน้น นี่เป็นสำนึกที่ได้เห็นใยแมลงมุม จะเรียกว่าธรรมะจากใยแมลงมุมก็พอจะได้มั๊ง?

 

ยิ่งดึกมากเท่าไร ความสงบวิเวกวังเวงยิ่งปรากฏตัวขึ้นมากเท่านั้น ที่เขาต้นเกดยามนี้มีแต่ความสงัดเงียบ จะมีก็เพียงเสียงขับร้องของแมลงกลางคืนที่อยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ อันเป็นเพื่อนแห่งรัตติกาล บรรยากาศอย่างนี้ช่างชวนให้รำพึงนึกถึงอรรถถึงธรรมอย่างดียิ่ง เพราะความสงัดเงียบย่อมเป็นสหายสนิท เป็นมิตรแท้ของปราชญ์ ผู้ใคร่แสวงหาหนทางแห่งสันติบวร อันจะไม่นำกลับมาสู่วงล้อแห่งวัฏทุกข์นี้อีก

 

แต่.....การที่จะนำตัวเองให้ถึงแดนเกษม คือ ที่สุดแห่งทุกข์นั้นก็มิใช่จะเป็นของง่ายนัก เราจะต้องประกอบไปด้วยวิริยะ อุตสาหะ ความอดทน และความตั้งใจอย่างแน่วแน่ พรั่งพร้อมสมบูรณ์ไปด้วย สติ ปัญญา อิทธิบาทสี่อย่าครบครัน จิตจะต้องมั่นคง ไม่โลเลเหลวไหล หากพรั่งพร้อมครบครันด้วยสิ่งเหล่านี้แล้ว เป็นอันหวังได้เลยว่า จะต้องเข้าถึงแดนดินถิ่นนิพพานในชาตินี้ได้แน่ๆ

 

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเปรียบเทียบ และทรงประทานโอวาท สำหรับผู้ที่มีเจตน์จำนง มุ่งสู่แดนนิพพาน พระองค์ทรงกล่าวว่า "อันธรรมดาแม่น้ำคงคานั้น จะมีที่สุดไหลลงสู่ห้วงมหาสมุทร"ทรงชี้ให้ดูขอนไม้ที่ลอยอยู่ในลำน้ำคงคา และทรงกล่าวว่า "ขอนไม้ท่อนนั้นก็จะต้องลอยลงสู่มหาสมุทรด้วยเช่นกัน หากว่าขอนไม้ท่อนนั้นจะไม่เข้าใกล้ฝั่งโน้นหรือฝั่งนี้ จะไม่จมลงเสียก่อนระหว่างทาง จะไม่เกยบก จะไม่ถูกมนุษย์หรืออมนุษย์จับไว้ จะไม่ถูกวังน้ำวนพัดวนเอาไว้ จะไม่เน่าข้างในเสียก่อน"

 

คำว่า "ฝั่งโน้น" หมายถึง อายตนะภายนอกทั้งหก "ฝั่งนี้" หมายถึงอายตนะภายใน ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีความระมัดระวังสำรวมให้ดี คำว่า "จมลงกลางทาง" หมายถึงว่ามีความกำหนัดยินดีในกามราคะ คำว่า "เกยบก" หมายถึงอัสมิมานะ คือทนงตัวถือดีว่าตัวเก่ง แล้วมีทิฏฐิไม่ยอมลงให้ใคร ข้อที่ว่า "กูกมนุษย์จับไว้" หมายถึงนักบวชผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อเข้ามาประพฤติปฏิบัติธรรมแล้ว แทนที่จะตั้งใจบำเพ็ญเพียร กลับไปเที่ยวมั่วสุมคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ชอบพูดคุยแต่ในเรื่องที่ไม่ใช่อรรถไม่ใช่ธรรม ฯลฯ ในข้อที่ว่า "ถูกอมนุษย์จับไว้" นั้น หมายถึงผู้บำเพ็ญเพียร แทนที่จะมุ่งปฏิบัติให้ตรงเข้าสู่แดนพ้นทุกข์ กลับไปติดไปเพลินอยู่กับฌานสมาบัติ ติดเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช ไปติดและพอใจอยู่ในความสุขแค่สวรรค์ คำว่า "วังน้ำวน" หมายถึงกามคุณห้าคำว่า "เน่าภายใน" หมายถึงนักบวชผู้ที่ทุศีล บวชเข้ามาแล้ว แทนที่จะรักษาธรมวินัย กลับทำตัวตรงกันข้าม ทำท่าเคร่งครัดต่อหน้าญาติโยม มีข้อวัตรปฏิบัติไม่ถูกธรรมถูกวินัย เช่นบอกใบ้ให้หวยดูหมอ ทำเสน่ห์ยาแฝด ขับรถ อันไม่ใช่กิจของสงฆ์

 

เมื่อได้พิจารณาดูพุทธโอวาทดังกล่าวนี้แล้ว จะเห็นว่า พระผู้มีพระภาคของพวกเรานั้น ทางมีพระปรีชาญาณอย่างเยี่ยมยอด ทรงมีอุปมาอุปมัยทำให้เข้าใจได้ง่าย สามารถโน้มนำเอาธรรมชาติที่เกิดขึ้นรองๆข้าง มาเป็นธรรมะอบรมสั่งสอนทำให้เห็นจริงเห็นจัง เกิดความดื่มด่ำประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ก็อย่างที่อาตมาเคยพูดไว้เสมอว่า "ธรรมะ" คือ "ธรรมชาติ" "ธรรมชาติ" คือ "ธรรมะ"จำได้ไหม? ใครสามารถสร้างจิตของตัวเองให้นุ่มนวล ผสมผสานกลมกลืนกับธรรมชาติรอบข้างจนสามารถหล่อหลอมเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมชาติ ผู้นั้นจะเข้าใจธรรมะ และเข้าถึงธรรมได้อย่างดี

 

ต้นไม้ ใบหญ้า ตลอดจนสรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หากว่าเรามีปัญญาก็อาจนำสิ่งเหล่านี้ มาเป็นอรรถเป็นธรรม อบรมสั่งสอนจิตใจของเราได้เป็นอย่างดี ใจเราก็จะฉลาดรอบรู้ แหลมคมขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง อันเป็นธรรมชาติรอบตัวได้เป็นอย่างดี ความสงบร่มเย็นก็จะบังเกิดขึ้นกับใจเราเป็นทวีคูณ เพราะใจถูกหล่อหลอมเป็นเนื้อหาเดียวกับธรรมชาติเป็นอย่างดี แล้วธรรมะทั้งหลายก็จะบังเกิดขึ้น เป็นปัญญาให้เราได้พิจารณาตลอดเวลา เราก็จะเดินอยู่ในบรรดาธรรมสายนี้ด้วยความสงบร่มเย็นก้าวหน้าตลอดไป ฝากญาติโยมที่คิดจะเข้าวัดอย่างจริงจัง ลองพิจารณาดูด้วย

 

ตีสามครึ่งแล้ว อากาศเริ่มเย็นลง เพราะมีลมพัดแรงขึ้น จันทร์เจ้าครึ่งเสี้ยว ลอยลับทิวเขาทิศตะวันตกไปแล้ว แต่แสงสว่างพร่างพรายยังมีอยู่ อาจเป็นเพราะฟอสฟอรัสในท้องทะเลสะท้อนขึ้นมาท้องฟ้าโปร่งใสไร้ปุยเมฆ เสียงนกดุเหว่ากู่ร้องมาจากฟากเขาด้านตรงข้าม เขาคงจะคิดว่าใกล้รุ่งแล้ว ไก่ป่าที่อาศัยอยู่ตามซุ้มไผ่ โก่งคอขับประสานเสียงรับกันเป็นทอดๆ รอบข้างมีแต่ความสงัดวังเวง....

 

ความเงียบสงบวิเวกของบรรยากาศ บางครั้งก็เป็นเหตุให้สัญญาอารมณ์ในอดีตผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ เช่นในขณะนี้... หวลนึกถึงสมัยครั้งยังครองเพศฆราวาส นึกถึงความสุขสนุกสนาน สะดวกสบายหรูหรา นึกถึงญาติสนิท มิตรสหาย ที่เคยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เคยผ่านมา จิตส่งออกนอก ท่องเที่ยวล่องลอยไปในอดีต...........!

 

สติที่ฝึกไว้ดีแล้ว กลับคืนมา หันมาดูตัวเองในปัจจุบัน หันหลังให้แล้วกับความผูกพันธ์เกี่ยวข้องกับโลก กับหมู่คณะ ยินดีที่จะฝากฝังตัวเองอยู่ในเสนาสนะอันสงบสงัด อันห่างไกลจากความอึกทึกครึกโครม ถอยตัวเองออกมาอย่างเด็ดขาดจากสังคมอันฟอนเฟะ เสแสร้งขาดความจริงใจ เอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งชิงดี ฯลฯ ย้อนดูความสุขในอดีตของตัวเองกับปัจจุบันช่างห่างไกลกันสุดหล้าฟ้าเขียว.....เหมือนนรกกับสวรรค์.......!!!

 

วงจรของอดีตสัญญาอารมณ์มาสะดุดหยุดลง ไม่อาจจะเคลื่อนไหวไปในรูปของความคิดต่อไป เหมือนมีสิ่งหนึ่งมาจุกลำคอ สะอื้นลึกๆเกิดขึ้นภายใน....น้ำตาซึมออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เมื่อหวนรำลึกนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นนาถะแห่งโลก......เพราะพระมหากรุณาธิคุณนี้เอง ช่วยดึงสัตว์โลกผู้มืดบอดโง่เขลาตนนี้ ให้พ้นออกมาจากกลมายาของกิเลส อันเป็นวงเวียนแห่งสังสารวัฏ ห่อหุ้มไปด้วยความทุกข์ ชาติแล้ว ชาติเล่า ที่ต้องวนเวียนอยู่ในกระแสทุกข์สายนี้ เหน็ดเหนื่อยเหลือประมาณ.... เพราะพระมหากรุณาธิคุณนี่เอง จึงทำให้พบประทีปธรรมสว่างไสวโชติช่วงอยู่เบื้องหน้า ณ บัดนี้ มีแต่ความอิ่มเอิบซาบซ่านไปทั้งอณูแห่งความรู้สึก.... ในยามนี้เสมือนหนึ่งว่า พระองค์เสด็จมาประทับยืนสงบนิ่ง ณ เบื้องหน้า.....

 

ทรุดกายหมอบราบกับแม่พระธรณี อย่างขาดความรู้สึกตัว ยอกรอัญชลี น้อมถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ณ แทบพระยุคลบาท ด้วยจิตที่ ปิติ อิ่มเอิบซาบซ่าน.......ในห้ววลึกอันสงบสงัดชุ่มชื่นแห่งจิตอันบริสุทธิ์ ได้เปล่งสำเนียงสาธุการออกมาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ....ข้าแต่พระผู้เป็นประทีปส่องโลก ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต ขอยึดเอาพระองค์เป็นสรณะที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวตราบชั่วชีวิตมลาย.

 

อาภัสสะโร ภิกขุ

๕ มกราคม ๒๕๓๓

 



ผู้ตั้งกระทู้ วิศาล :: วันที่ลงประกาศ 2010-12-10 18:39:03


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (3301693)

สาธุ...อนุโมทนาครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น เกิง (baitongbaanpa-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-07-21 12:54:38



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.