ขณะที่ "ตกแหล่งของความรู้" คือ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เต็มไปด้วยวัตถุ ปรมัตถ์ อาการ ต่างๆ เห็นว่าทุกอย่างมีเหตุ มีปัจจัยต่อกัน เช่น เห็นว่าบางทีอารมณ์ ก็บัญญัติว่าดี ว่าไม่ดี ว่า ชอบ ว่าไม่ชอบ คนธรรมดาก็บัญญัติว่ารัก ว่าชัง ว่าชอบ ว่าไม่ชอบ ว่าสวย ว่างาม ว่าคนนั้นดี ว่าคนนี้ไม่ดี ทั้งที่เป็นเรื่องปกติธรรมดา ทำให้ไม่เป็นอิสระในการเห็น นี้เรียกว่า รู้สมมติ รู้บัญญัติ รู้ปรมัตถ์ เมื่อมารู้สมมติ รู้บัญญัติ รู้ปรมัตถ์ จิตก็เป็นอิสระ เพราะเกิดภาวะการเห็นแจ้ง
การตกแหล่งของความรู้เช่นนี้ จะรู้ในทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว กล่าวคือ เดินก็รู้ นั่งก็รู้ เห็นก็รู้ได้ยินก็รู้ เรียกว่าเกิดปัญญาญาณ นำเราให้หลุดออกจากปัญหาต่างๆ การเห็นแจ้งจึงสนับสนุนให้เราเลื่อนระดับไปเรื่อยๆไปรู้เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ได้สัมผัสกับบุญจริงๆไม่ใช่คิดเอาเองเหมือนเมื่อก่อน
ใจที่สัมผัสกับบุญจริงๆแล้วรับรองว่าไม่ตกนรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย เพราะรู้จักถูก รู้ผิด การสัมผัสกับบุญจึงเป็นประโยชน์ การสัมผัสกับบาปก็ทำให้เรารู้จักละบาป เปรียบเหมือนกับ เราเคยเหยียบหนาม แต่เมื่อเราเห็นหนาม เราจึงไม่เหยียบหนามเช่นแต่ก่อน ดังนั้น การสัมผัสกับบุญจริงๆจึงเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น
ถ้าอยู่กับศีล สัมผัสกับศีลแล้ว จะมีความปกติกายปกติใจ คือ กายก็เป็นปกติ ใจก็เป็นระเบียบใจไม่ฟูไม่แฟบ ไม่พยศ ภาวะความปกติของกายและใจก็เป็นศีล เป็นสมาธิ เกิดปัญญาคือความรู้ที่จะปลดปล่อยให้จิตบริสุทธิ์อยู่เสมอ การรู้เหตุ รู้ปัจจัย ทำให้ไม่โง่ ไม่หลง ไม่ติดอะไร และสามารถสัมผัสกับศีล กับสมาธิ กับปัญญา นี้เรียกว่า เป็นศีลสิกขา เป็นศีลที่เกิดจากมรรค
ภาวะที่ดู ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็นนี้ คือ ทางพ้นทุกข์แท้ๆ ภาวะที่ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็นเช่นนี้ ถ้าดูอยู่เรื่อยๆจิตก็จะบริสุทธิ์ เป็นการประพฤติพรหมจรรย์
การสัมผัสกับศีล คือ สัมผัสอย่างนี้ อยู่กับสภาวะอย่างนี้สม่ำเสมอ เป็นศีลสิกขา เป็นศีลที่ถลุงและย่อยกิเลสออก จึงสามารถละความชั่ว ทำความดี ทำให้จิตบริสุทธิ์ ศีลสิกขาเป็นศีลที่มีอานิสงส์จริงๆไม่ใช่ศีลสมาทาน ไม่ใช่ศีลสามัญลักษณะ การดำเนินชีวิตในขณะนี้จึงพบศีล เป็นคนมีศีลจริงๆ ทำให้กายปกติ วาจาปกติ ใจปกติ
ขณะนี้ เราได้ผ่านพ้นมาเป็นมนุษย์ได้จริงๆ ปิดประตูนรก ปิดประตูอบายภูมิได้จริงๆเพราะเรารู้เรื่องของมรรค รู้เรื่องของศีล รู้เรื่องของสมาธิ รู้เรื่องของปัญญา โดยการสัมผัส ไม่ใช่จำเอา ไม่ใช่ "คิดรู้" (หมายถึงรู้ด้วยการคิดเอาเอง) แต่ "พบเห็น" เป็นการสัมผัสกับศีล สัมผัสกับสมาธิสัมผัสกับปัญญา สัมผัสกับอริยมรรค และสัมผัสกับพรหมจรรย์คือความบริสุทธิ์
แต่ก่อนนี้ความคิดปรุงแต่งครอบครองเราหมด เช่น ทำให้เกิดความง่วงเหงาหาวนอน ความคิดฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย เป็นต้น เมื่อมีความรู้สึกตัว เราจึงสามารถเอาชนะความคิดปรุงแต่งได้และไม่มีสภาพอย่างนั้นอีกต่อไป เปรียบเหมือนกับเราเดินทางบนทางเอก เมื่อเราได้ผ่านบ้านนั้นเมืองนี้ไปเรื่อยๆไปถึงถิ่นไหน ผ่านพ้นมาอย่างไร เราจะรู้เห็นและสัมผัสได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องมีใครบอก
ต่อมาจึงมารู้ มาเห็น มาสัมผัสเรื่องเทวดา เทวดา คือ คนที่ละอายต่อความชั่ว ไม่กล้าคิดชั่ว ไม่กล้าพูดชั่ว ไม่กล้าทำชั่ว แต่ก่อนหลวงพ่อเข้าใจว่าเทวดาอยู่บนฟ้าอยู่บนก้อนเมฆ คิดไปว่าเป็นเมืองบนสวรรค์ นั่นก็ถูกอยู่ เทวดาตามความชั่วนั้น ไม่ใช่เทวดาที่จะช่วยเราได้ แต่เทวดาที่เกิดอยู่กับเรานั้น คือ มีความละอายต่อความชั่ว ไม่กล้าคิดชั่ว ไม่กล้าพูดชั่ว ไม่กล้าทำชั่ว แม้แต่คิดก็ไม่กล้า นี่คือ เทวธรรม เทวดาลักษณะนี้จะช่วยเรา รักษาเรา คุ้มครองเรา เราไม่ต้องไปกราบ ไหว้ ไม่ต้องไปขอร้องเทวดาที่ไหน เพราะเทวดาอยู่ในตัวเรา
ความรู้เช่นนี้ไม่เคยคิดไม่เคยรู้มาก่อน จึงคิดอยากให้คนมารู้ อยากให้คนมาศึกษา อยากให้คนมาปฏิบัติ วันหนึ่ง ขณะหลวงพ่อเดินจงกรม ก็คิดไปว่าคนนั้นคงไม่รู้ คนนี้คงไม่รู้ คิดถึงพ่อแม่คิดถึงพี่น้อง อยากให้มาเดินจงกรม อยากให้มานั่งสร้างความรู้สึกตัว คิดแบบเมตตากรุณาอยากช่วยเหลือ
การเข้าสู่ทางเอกจะนำเราผ่านจากความเป็นคน เป็นเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร มาเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง เป็นผู้มีศีล ดำเนินชีวิตตามองค์มรรค ละความชั่ว ทำความดี มีจิตใจเป็นพระอินทร์ เป็นพระพรหม รู้บุญ รู้บาป เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ทางเอกจึงนำเรามาพบเห็นมาเข้าใจอย่างนี้
ศาสนามีอยู่ในจิตใจคนเรานี่เอง ถ้าคนคนนั้นละการทำชั่ว กระทำแต่ความดี และมีศีลบริสุทธิ์ แต่ถ้ายังคิดชั่วอยู่ ก็ถือว่าไม่เข้าถึงพุทธศาสนา แม้จะกล่าวบทสวดว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ศาสนาสอนให้คนไม่ทุกข์ สอนให้คนทำดี ไม่เป็นทุกข์ ถ้ายังมี ทุกข์อยู่ไม่ได้ชื่อว่าเข้าถึงศาสนา ชีวิตก็อาจหมองไป อาจไหลเทไปในทางต่ำ
เมื่อเราเข้าถึงศาสนา คือ เราละการทำความชั่ว กระทำความดี ก็เปรียบเหมือนกับคนทำกิจกรรมบางอย่างจนเป็นอาชีพ จึงมีความมั่นคง สามารถยึดอาชีพนั้นเป็นที่อาศัย มีอยู่มีกิน นี่ เราได้สัมผัสอย่างนี้
ภาวะที่ดู ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็นนี้ เป็นการกระทำที่ย่อที่สุด เปรียบเหมือนว่าธรรมอยู่ในกำมือเดียวแท้ๆ ไม่ต้องทำอะไรมาก
แต่ก่อนหลวงพ่อพะรุงพะรัง ยึดพิธีรีตอง ยึดถือความดีจากคนอื่น เชื่อถือพิธีกรรมต่างๆมีความขลัง แม้กระทั่งความคิดของตนเอง เช่น คิดขึ้นมาแล้วเกิดความสงสัย คิดขึ้นมาแล้วกลัว คิดขึ้นมาแล้วก็รัก คิดขึ้นมาแล้วก็ชัง เมื่อสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น หลวงพ่อจึงไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะตั้งใจ "ดู" อย่างเดียว คล้ายกับว่า ชีวิตเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น ถ้าใครได้ศึกษาปฏิบัติ จนเข้าถึงภาวะที่ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็นได้แล้ว จะเป็นจุดที่พร้อม เป็นจุดรวม เป็นจุดเพชรแห่งธรรม เพราะสามารถถลุงสังโยชน์ได้ (กิเลสหรือความคิด ปรุงแต่งที่ละเอียดขึ้น)
การเห็นรูปนาม เห็นทุกข์ เห็นสมมติ เห็นจิตที่คิดปรุงแต่ง จะค่อยๆลบเลือนตัวกู(ความรู้สึก เป็นตัวตน) จิตใจค่อยๆเปลี่ยนเป็นมนุษย์ คือ มีศีลเป็นที่พึ่ง ปิดนรก ปิดอบายภูมิ ละการทำชั่วทำแต่ความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ได้จริงๆ ประตูแห่งพระสัจธรรมก็เปิด จิตใจก็เป็นอิสระเพราะทำลายตัวกูลงได้ ละสักกายทิฐิ (ความเป็นตัวกูของกู) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) สีลัพพตปรามาส (ความยึดถือในพิธีรีตอง)
ถึงจุดนี้จิตมันเปลึ่ยนมาเห็นมาเข้าใจ แต่ก่อนนี้คล้ายกับว่าตัวกูมันหลบซ่อนอยู่ที่ประตู บัดนี้ ตัวกูเหมือนกับเฝ้าดูอยู่ที่ประตู พอตัวกูจะออกมา มันกูจะเอ๋ ตัวกูล้มละลายไป เพราะมันทนต่อการพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าจะเปรียบเหมือนกับต้นไม้ที่มีผล พอเขย่าเล็กน้อย บางผลก็หล่น
ดังนั้น ความโลภ โกรธ หลง สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ที่เป็นสัญชาติญาณลึกๆและเป็นอาการต่างๆทีเกิดขึ้นจากรูปนาม ได้หล่นหลุดหายไป
ภาวะที่จิตใจเปลี่ยนเป็นพระ คือ มีใจที่ประเสริฐสามารถทำลายตัวกูลงได้ เมื่อสัมผัสกับภาวะนี้ตัวกูก็หลุดไป หมดไป เหมือนกับว่า กุศลกับอกุศลหรือความสกปรกกับความสะอาดได้แยกออกจากกัน
ความเป็นพระคือมีใจที่ประเสริฐอย่างนี้ จิตใจจะเปลี่ยนมาอย่างนี้ ไม่ใช่เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม ไม่ใช่เปลี่ยนแต่คำพูด ไม่ใช่การบวชแบบเอสาหัง และแบบอุกาสะ นั้นเป็นพิธีกรรม เป็นสมมติ บัญญัติ เป็นพระสงฆ์โดยสมมติ แต่ถ้าเป็นพระอริยสงฆ์ คือ มันไกลจากความทุกข์ มันไกลจากกิเลส
ความทุกข์และกิเลสคือข้าศึกของชีวิต ตัวกูที่มีอุปาทานเป็นข้าศึกของชีวิต เพราะถ้ามีตัวกูทีไร ก็เปรียบเหมือนมีรอยแผล รอยแพ้ รอยชนะ รอยสุข รอยทุกข์ รอยได้ รอยเสีย เมื่อละตัวกูลงได้ก็เปรียบเหมือนรถยนต์ที่ชำรุดแล้ว ได้รับการซ่อมแซมให้กลับสู่ภาวะปกติ กายใจก็เช่นเดียวกัน
เส้นทางธรรมก็นำเรามาถึงจุดนี้ เป็นเส้นทางกันประเสริฐ เป็นหมายเลขหนึ่ง เป็นทางเอกของชีวิต เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ก็สัมผัสกับความเป็นพระ จิตใจที่เปลี่ยนมาอย่างนี้ เป็นเพชรทางธรรมเป็นประตูแห่งสัจธรรม อย่างบทสวดที่เราสวดว่า "สทฺธมฺมโช สุปฏิปตฺติคุณาทิยุตฺโต, พระสงฆ์ที่เกิดโดยพระสัทธรรม ประกอบด้วยคุณมีการปฏิบัติดีเป็นต้น" ที่เกิดโดยพระสัทธรรมอยู่ตรงนี้ พระอริยสงฆ์เกิดตรงนี้ เกิดจากการเจริญสติจนเข้าถึงภาวะที่ดูแล้วเห็น เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็นนี้เอง |